เพลงประกอบ

"อาจยังไม่สาย" คลิ๊กฟังระหว่างเสพนิยาย by coHd

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

chapter#3 ::บทเรียนที่สาม"สาย"





พนักงานใหม่คนนึงที่บริษัทมาสาย
 เขาคงยังไม่รู้ว่าบริษัทนี้ทำงานแบบมืออาชีพ
ถึงแม้ว่าการมาสายของเขา จะไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายอะไร
แต่ลึกๆแล้ว มันก็แสดงถึงความรับผิดชอบที่เคร่งคัดของบริษัทนี้
คำแก้ตัวของเขามีความหมายเท่ากับการไม่ต้องพูดอะไร




การมาสายมันยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยหรือ ?
ทั้งที่คิดคำถามขึ้นมาลอยๆ ผมกลับตอบตัวเองว่า
ใช่สิ มันยิ่งใหญ่

เวลาหนึ่งนาที มีความหมายมาก
 ถ้าคุณพลาดเวลาตอกบัตรตอน 8 โมงเช้า

เวลาหนึ่งนาที มีความหมายมาก
ถ้าคุณพลาดส่งกระดาษคำตอบหลังหมดเวลาสอบ

เวลาหนึ่งนาที มีความหมายมาก
ถ้าคุณพลาดการขึ้นรถไฟฟ้าขบวนสุดท้ายของรอบวัน

เวลาหนึ่งนาที มีความหมายมาก
ถ้าคุณพลาดการบอกลาครั้งสุดท้ายแก่คนรัก

เวลาหนึ่งนาที มีความหมายมาก
ถ้าหากคุณได้ปล่อยให้ใครสักคน เข้าใจคุณผิด
โดยที่คุณไม่มีโอกาสได้อธิบาย

เวลาหนึ่งนาที มีความหมายมากจริงๆ
ถ้าผมรู้ ว่าผมจะต้องเริ่มนับเวลาที่แสนนานครั้งใหม่
 เพื่อแก้ไขเวลาหนึ่งนาทีนั้นอีกครั้ง
ผมทำได้แต่คิดการแก้ตัวครั้งต่อไปว่า
ผมจะต้องตรงเวลาให้มากกว่านี้!”




กลุ่มความคิดก้อนใหญ่
ทำให้ผมต้องจับหนวดเพื่อครุ่นคิดถึงอดีตที่เคยรู้สึกเสียใจ
 ถึงการมาสายครั้งยิ่งใหญ่

เพราะหนึ่งนาทีที่ยิ่งใหญ่ของผม..ผมมาสาย
ในวันนั้น
ผมไปไม่ทันส่งแฟนเก่าที่จะไม่มีวันเจอกันอีก
หนึ่งนาทีนั้นหายไปจากผมชั่วนิรันดิ์




เหมือนวัยเกษียณของผม จะมีชีวิตอยู่ในโลกสมัยใหม่ได้เพียง
แค่ดูทีวี,อ่านหนังสือพิมพ์,และฟังวิทยุเท่านั้น
แผ่นเสียง,เทปเพลงลูกกรุงที่เก็บไว้
กลายเป็นของสะสม ที่ผมถนอมมันยิ่งกว่าเส้นผมที่เหลือน้อยเสียอีก






ใครจะเข้าใจความรู้สึกชราภาพ
ที่วนเวียนคิดแต่เรื่องในอดีต
ด้วยความเดียวดายนั้น มันช่างรู้สึกอ้างว้างเสียจริงๆ
ผมเบื่อในการรำลึกถึงมันจากการฟังเพลง,และเปิดดูรูปเก่าๆ
แต่ก็ยังน้อยกว่าสิ่งที่ผมสนใจในหน้าหนังสือพิมพ์ยุคนี้




การเมืองคือสิ่งที่น่าเบื่อ มันมีวงจรซ้ำซาก
ผมเจอคนบอกว่าเบื่อการเมืองเยอะกว่าบอกว่ามันน่าสนใจ
แต่เมื่อได้คุยกับเขาแท้จริง ผมเข้าใจว่า
เขาไม่ได้เบื่อการเมืองจากความเข้าใจมันอย่างถ่องแท้
แต่กลับเป็นว่าเขาเบื่อการเมืองเพราะเขาไม่เคยจะอยากเข้าใจมัน
พวกเขาทำตัวเป็นคนตามน้ำคนหมู่มาก
และสร้างภาพว่าเขาคือหนึ่งในความถูกต้อง ที่ไม่อยากเห็นการเมืองแย่ๆ
โดยที่ไม่เคยรับรู้ ทำความเข้าใจ หรือทำอะไรเพื่อแสดงออกถึงการมีส่วนร่วม
ในการช่วยให้การเมืองเป็นไปอย่างสุจริต โปร่งใส
เพื่อพัฒนาบ้านเมืองอย่างแท้จริง

มันน่าแปลกที่ว่า ทั้งที่พวกเขาอยากให้มันดีขึ้น
แต่พวกเขาเองกลับไม่ทำอะไร?
 หรือแม้กระทั่งจะทำความเข้าใจมันอย่างแท้จริง




แม้การเมืองจะดูน้ำเน่าได้สมจริงกว่าละครทีวีที่อีแก่ดู
แต่ผมก็ปล่อยปละละเลยมันไม่ได้

ความเครียดคือยาพิษชนิดหนึ่งที่ทำให้ผมต้องเลิกมองในแง่ร้าย
หรือมองมันในแง่ดีจนมากเกินไป ที่จริงควรมองมันในมุมข้อเท็จจริง
เป็นเหตุ และเป็นผลมากกว่า นั่นคือการหาความรู้
ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อฉลาดพอจะวิเคราะห์
ไม่ใช่เพียงแต่เอาอารมณ์ส่วนตัวคอยตัดสินการเคลื่อนไหวทางการเมือง

แม้บ้านเมืองจะได้รับผลของการเมืองที่เลวร้าย ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่ก็ไม่เคยหายไปจากการสนทนายามว่าง เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็น
ประเด็นการเมืองถูกถกในร้านกาแฟของอาแปะจนไม่เหลือเรื่องคุย
เราเห็นต่างกันเกินไป จนเหมือนไม่มีวันจะปรับความเข้าใจกันได้

สิ่งที่ผมสังเกตได้คือ 
มันอาจสายเกินไปแล้วสำหรับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นใหม่
เพราะพวกเขาไม่ได้สนใจมันมาแต่ต้น จนเอาความรู้สึกตรงข้าม
ตัดสินข้อเท็จจริงหลายๆอย่าง
ไม่มีใครกลับไปที่ความเข้าใจเริ่มต้นจริงๆของปัญหา
น่าเสียดายที่การถกเถียงกันของเรากลายเป็นเรื่องไร้สาระ
จากข้อเท็จจริงคนละอย่าง
ที่ร้ายกาจคือ คนที่หลงผิด ได้ทำร้ายบ้านเมือง
จากข้อเท็จจริงที่เขาสร้างขึ้นมาเอง



มันลุกลามมากขึ้น และบานปลายจนฝังลึก
ยิ่งกว่านั้นปัญหายังกระจายออกไปในวงกว้าง
จนสายเกินกว่าจะสร้างความเข้าใจใหม่
ผลงานของเขาคือการสร้างความแตกแยกที่เกินกว่าจะให้อภัย

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอาจสายเกินกว่าจะแก้ไข
มันอาจค่อยๆกลับมาเหมือนเดิมอย่างช้าๆ
หรืออาจไม่มีวันกลับมาเลยก็ได้



การเมืองไม่ใช่เลวร้าย แต่นักการเมืองต่างหากที่ทำให้มันเลวร้าย
เรารักกันโดยไม่มีความบกพร่อง นักการเมืองจึงสร้างความบกพร่อง
การเมืองไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่นิสัยแย่ๆของนักการเมืองนั่นล่ะ
ที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันไกลแสนไกล จนยากที่จะสนใจ
ผมอดใจวางเฉยไม่ได้ เพราะนี่คือประเทศของเราทุกคน
บ้านเมืองของเราทุกคน ..
ไม่สายหรอกหากจะมีส่วนร่วมเพื่อให้การเมืองดีขึ้น
แม้ความแตกแยกจะสาย จนเกินกว่าจะแก้ไขก็ตาม

ผมเดินไปนั่งที่สวนหน้าบ้าน จมูกของผมสัมผัสได้ถึง
กลิ่นไอร้อนของทีวีข้างในบ้าน
 คละคลุ้งผสมกับกลิ่นคาวการเมืองบนหน้าหนังสือพิมพ์


ผมตะโกนเรียกอีแก่
ให้เบาเสียงทีวี แล้วนั่งอ่านหนังสือพิมพ์คอลั่มต่อไป
อีแก่หัวเราะและบอกผมว่า
“ ตาขวดเอ๊ย..เอ็งยังไม่เลิกอ่านข่าวการเมืองน้ำเน่านั่นอีกเรอะ!
ผมยิ้มแล้วบอกว่า “ ทีวีของเอ็งกับหนังสือพิมพ์ของข้า ก็ไม่มีอะไรต่างกันหรอก!




ฉันเกลียดแสงแดดมันทำให้รู้กังวลกับความแก่
ฉันจำได้จากรายการทีวี ที่บอกเคล็ดลับเหมือนกันทั้งวงการว่า
หากอยากแก่ช้า,สุขภาพผิวดี ต้องหลีกเลี่ยงการเจอแสงแดด
หลังจากจบคำแนะนำนั้น พิธีกรรายการมักจะถามเกริ่น
เพื่อให้ดาราโปรโมตผลิตภัณฑ์เสริมความงามของตัวเอง
ฉันไม่เคยจำมันได้สักยี่ห้อ
เหมือนที่จำสายรถเมล์ที่ผ่านหน้าบ้านฉันไม่ได้
กว่าจะถึงถนนหน้าหมู่บ้านฉันไกลจริงๆ
  รู้อย่างงี้ใส่ส้นเตี้ยมาสะก็ดี! ”





ฉันลืมไปแล้วว่า
การใส่เสื้อแขนยาวเป็นยังไง
นี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันต้องหลบแดดเป็นพิเศษ

คงเพราะฉันหุ่นดี ไม่ก็ความั่นใจในรูปร่าง
ที่ทำให้ฉันชอบใส่ชุดยั่วยวนสายตาของเพศตรงข้าม
ฉันมักรู้ตัวเองว่าแต่งตัวโป๊ เมื่อต้องไปในสถานที่ราชการเท่านั้น
มันเป็นความเคยชินของฉันไปตั้งแต่เมื่อไหร่
นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันต้องเสียเงินเยอะในการเดินทางแน่ๆ
ทันทีที่หยุดคิด
แท็กซี่คันหนึ่งก็ตรงเข้ามาหาฉันทั้งที่ยังไม่ได้ยกมือเรียก


เมื่อไหร่จะถึงสักทีนะ ฉันมองผ่านกระจกรถแท็กซี่
พลางคิดในใจว่าถ้าฉันไม่ติดที่ต้องขอเงินแม่
เพื่อซื้อเครื่องสำอางเกาหลีชุดใหม่
ฉันคงไม่มีวันอาสาส่งของให้เพื่อนแม่
เพื่อเจอแดดจ้าๆแบบนี้หรอก

ทุกๆครั้งที่ฉันอยู่บนรถแท็กซี่
ทั้งที่คิดอะไรในใจมากมาย

ฉันกลับรู้สึกถึง
สายตาคนขับที่จ้องมองฉัน
มันคือความรู้สึกสะอิดสะเอียน
จากเงาสะท้อนของกระจกส่องหลัง

ฉันละสายตาเขา และ
จ้องมองดูราคาโดยสารบนมิเตอร์
 สมัยนี้เลขดีดขึ้นทีละ2ตั้งแต่เมื่อไหร่?
ฉันเคยถามเรื่องนี้กับคนขับแท๊กซี่
เขาบอกฉันว่า เขาไม่ได้โกง
 ทั้งที่ขัดกับความรู้สึกของฉัน



การขึ้นรถเมล์ทำลายความมั่นใจของฉัน
นอกจากจะไม่สามารถเดาเวลาที่ไปถึงได้
มันทำให้ฉันถูกจ้องมองจากสายตาที่ลวนลาม
และหยาบคายของผู้ชายพวกนั้น
บางคนแกล้งไม่ใส่ใจ แต่ฉันรู้ว่าเขาสนใจฉัน
จากตำเหน่งสายตาที่เขาแสร้งทำเป็นมองมาเป็นระยะ
บางทีฉันก็อยากสลัดความสวยขึ้นรถเมล์
เพื่อให้เป็นคนปกติคนนึง

การทำให้ตัวเองเป็นผู้หญิงสวย
คือชีวิตที่ลำบากกว่าปกติจริงๆ
สิ่งนี้ทำให้ฉันต้องทนทุกข์ แต่ฉันยอมรับมันได้
 นั่นคือการต้องวางแผนก่อนออกนอกบ้าน
เพื่อแต่งหน้าก่อนอย่างน้อย 20 นาที
ถ้าเป็นวันที่ผมฉันเริ่มเหม็น มันจะนานกว่านั้นเป็นชั่วโมง
ยิ่งถ้าวันไหนฉันไม่ได้เตรียมชุดไว้ก่อนด้วยแล้ว
ยิ่งไปกันใหญ่




นอกจากจะเสียเวลา
ผ้าในตู้ของฉันมักจะสูญเสียความเป็นระเบียบ
จากการรื้อแล้วรื้ออีก ลองใส่แล้ว ลองใส่อีก
เวลาที่ใช้ไปนานเท่าที่ฉันจะรู้สึกปลง ดั่งเช่นวันนี้

ไหนจะความลำบากในการห่วงสวยในที่ต่างๆ
ห้องน้ำจึงเป็นสถานที่ๆฉันต้องการที่สุดเสมอ
มันคือที่เติมแป้งเพื่อเพิ่มความมั่นใจ
 เครื่องสำอางค์ที่พกออกไปข้างนอกจึงมักเป็นรุ่นที่ดีที่สุด
เพราะฉันจะได้แต่งหน้านานๆต่อหน้ากระจกสาธารณะ
ภายในห้องน้ำได้อย่างไม่เขิน



ค่าแท็กซี190บาท ฉันแต่งตัวมาดูดีแบบนี้
ควรเก็บเงินทอนดีไหมนะ ..เขาจะมองว่าฉันขี้งกรึเปล่านะ

ฉันจ่ายไป 200 บาท และบอกว่าที่เหลือฉันให้
แท็กซี่เชิญชวนฉันดู ตำเหน่งทศนิยมหลังราคาเต็ม
และบอกกับฉันด้วยภาษาไทยสำเนียงหนึ่งว่า
“ โอย บ่อได้ทอนด่อกคับ พอดี้กั่บค่ารถติดเล่ยแล่ว ”
ฉันไม่สนใจมันเท่าไหร่..เพราะหน้าเริ่มฉันมันแล้ว
ห้องน้ำอยู่ไหนกันนะ?

ฉันมาถึงที่นัดพบ ณ ร้านกาแฟในห้างใหญ่ใจกลางเมือง
และสายกว่าเวลานัดไป 20 นาที
แต่ในร้านกาแฟนั้น กลับไม่มีวี่แววของเพื่อนแม่
……




ผมเพิ่งเล่นโปรแกรม skype เป็น
มันเป็นโปรแกรมหนึ่งที่ใช้พูดคุยในอินเตอร์เนต
หนึ่งในความสามารถของมันคือการคุยกันเหมือนโทรศัพท์
เพื่อนของผมเคยชวนผมเล่นมาหลายครั้ง แต่ผมตอบปฎิเสธทุกครั้ง
เพราะรู้สึกว่าไม่เห็นมีความจำเป็นจะต้องคุยกับคนแปลกหน้า
แต่หลังจากการอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด
ทั้งที่เพื่อนๆในวัยเดียวกันมีแฟนกันไปเกือบหมดแล้ว
ผมมักคิดในใจว่า หรือผมจะเชยเกินไป



เพราะผมก็มีเพียงหนังสือกองพะเนินเทินทึกเป็นเพื่อนสนิท
เพื่อนที่วัยเดียวกับผม ไม่มีใครชอบอ่านหนังสือ
ผู้ชายสนใจการเล่นเกมส์ออนไลน์ในเวลาว่าง
เพื่อนผู้หญิงสนใจแต่เรื่องการแชตในโทรศัพท์
แฟชั่น รวมทั้งดาราเกาหลี แล้วจะมีใครที่จะเข้าใจผม
 มันน่าเสียดายจริงๆ ที่เพื่อนสนิทหลายๆเล่มของผม
คุยกับผมไม่ได้

นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ผมต้องการเข้าสังคม ไม่ว่าจะชอบหรือไม่
ผมแปลกใจในความสันโดษที่โหยหาสังคมของผมว่า
ผมเป็นอะไรของผมนักหนา

วิทยาศาสตร์บอกว่ามันเป็นฮอร์โมนเพศของช่วงวัยหนุ่ม
หลังจากผ่านความสับสนในการเจริญเติบโตมาแล้ว
มันผลิตแรงผลักดันทางเพศสูงสุดในวัยประมาณ 18 ปี

เหมือนในหนังสือของ รุซโซ เรื่องวุฒิภาวะ “Muturity
ที่พูดเกี่ยวกับกฎ Seven year cycles of life ไว้ว่า
ทุกๆ7ปี ความคิด,จิตใจของเราจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกัน
ผมอยู่ในวัฎจักร7ปี ครั้งที่2 ไปสู่ครั้งที่ 3
ซึ่งสนใจในเรื่องเพศตรงข้ามเป็นพิเศษโดยที่ห้ามคิดไม่ได้
อายุช่วงนี้จึงมีเจ้าชายในฝัน,เจ้าหญิงในฝันดูดีเกินจริงเป็นพิเศษ
ผู้หญิงหลายคนมีดาราที่เธอคลั่งไคล้
ผู้ชายหลายคนมีดาราAVที่เขาชื่นชอบ
จากการสังเกตสังคมรอบๆตัวของผม
รุซโซ ไม่ได้กล่าวไว้ผิดเสียทีเดียวนัก

ต่อให้ผมควบคุมเก่งแค่ไหนก็ยังไม่เคยควบคุม
ความแรงผลักดันทางเพศของตัวเองได้

ผมเจอผู้หญิงคนนึงในโปรแกรม skype จากคำแนะนำของเพื่อน
ผมทดลองคุยกับเธอดู และรู้สึกถูกใจเธอมาก
เธอขี้เล่น อารมณ์ดี แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าชอบผมเป็นพิเศษ




หรืออาจเป็นเพราะเคมีในร่างกายของเรายังไม่ตรงกัน
เหมือนที่สำนวนภาษาฝรั่งว่าไว้ว่าหากเราชอบกัน
อาจเป็นเพราะเคมีร่างกายของเราตรงกัน
 ( Physical chemistry )


ตลอดการสนทนาผมเรียกผู้หญิงคนนี้ว่า “คุณ”
เขาตลกในการเรียกสรรพนามนั้น
และบอกผมว่ามันเป็นทางการเกินไป
เธอเรียกผมว่า “เธอ”

ผมรวบรวมความกล้าของผมทั้งหมด
นัดเจอเธอที่ร้านอาหารผ่านโปรแกรมสนทนานั้นในวันพรุ่งนี้
โดยบอกสถานที่นัดเจอกัน ที่ห้างใหญ่ที่อยู่ใจกลางตัวเมืองแห่งหนึ่ง

เธอบอกชื่อผมก่อนปิดโปรแกรมว่าเธอชื่อ “ แจน ”
ขณะเดียวกันเธอก็ถามชื่อผมกลับ
ผมหยุดนิ่งไปพักใหญ่ เพราะชื่อจ่อย ของผมไม่เท่ห์เอาเสียเลย
ผมกลัวว่าเธอจะหัวเราะกับชื่อไทยๆ ที่บ้านผมตั้งให้คล้องกับตระกูล จ.จาน
ก่อนจะกลั้นใจบอกเธอไปว่า ผมชื่อ “ แจ๊กกี้ ”
เสียงสุดท้ายของเธอตอบกลับมาว่า “เฮ้ยย จ.จานเหมือนกันเลย”
ผมได้แต่ยิ้มตามลำพัง พร้อมกับคิดว่า 
“ เอาน่า การโกหกครั้งนี้ไม่ได้เลวร้ายนักหรอก ”




ผมหลับตาในคืนนี้อย่างช้าๆ เสียงของเธอติดหูผม
มันไพเราะกว่าดนตรีคลาสสิก
ที่ผมชอบเปิดกล่อมตัวเองก่อนนอนเสียอีก

ใจผมเต้นยิ่งกว่าร่างกายได้รับสารคาแฟอีนจากกาแฟ
ผมได้แต่คิดว่าเสียงหัวใจนั่นคือเสียงแกะ
 กระโดดข้ามรั้วกล่อมผมทีละตัว
สลับกับเสียงนับของเธอ
ทฤษฎีสัมพันธภาพของไอสไตน์ทำให้ค่ำคืนนี้ยาวนาน




ผมเพิ่งกลับมาจากการไปพักผ่อนที่ “โดวิลส์” (Deauville) ประเทศฝรั่งเศส
ผมรู้สึกดีอย่างนึงที่เมือง “โดวิลส์” มี ขี้หมาน้อยกว่าปารีส
เพราะผมชอบเพียงเปลือกของปารีส แต่ไม่เคยรู้สึกดีกับผู้คนที่นั่น
เช่นเดียวกับ ผู้คนในเมืองติดชายหาดอย่าง“โดวิลส์”
ย่านนั้นมีแต่พวกผู้ดีเก่าที่ชอบทำท่าเย่อหยิ่งจองหอง
คนพวกนั้นแม้จะระวังเรื่องมารยาทอย่างซับซ้อน
แต่สายตาที่เขามองผม
มักทำให้ผมรู้สึกเหมือนว่ามันช่างตรงข้ามกับมารยาทนั้นเสียจริง




คงเพราะภาพพจน์คนเอเชียโดยสมบูรณ์แบบของผม
เป็นสิ่งแปลกตาในบรรดาชนชั้นสูงของฝรั่งเศส
ทั้งที่ครอบครัวของผมใช้โอกาสพักร้อนนี้ ฃ
เพื่อมาเชื่อมสัมพันธ์ทางธุรกิจ แต่กลับถูกสายตานี้จับจ้อง

ผมไม่ชินกับคนประเทศนี้ ที่มักทำหน้านิ่งเหมือนว่า
ไม่อยากจะสนทนากับชาวต่างชาติ

แต่ก็ไม่หมดสะทีเดียวที่ผมจะเจอคนอัธยาศัยดีที่นั่น
ชาวฝรั่งเศสคนนึงเดินจ้องผมตาเขม็งก่อนเดินเข้ามาทักทาย



ก่อนการสนทนาของเราเริ่มขึ้น
ชายฝรั่งเศสคนนั้นทักผมด้วยภาษาจีน อย่างเป็นมิตร
ผมจึงพูดภาษาไทยตอบกลับ ก่อนจะมองหน้ากันเงียบๆ
หลังจากที่ผมพูดว่าไม่เป็นไรในภาษาฝรั่งเศส (De rien)
เราจึงเริ่มสนทนาด้วยภาษาฝรั่งเศสอย่างออกรสในภายหลัง
ในใจลึกๆของผม ไม่ถือสาความเข้าใจผิดในเชื้อชาติ
เพราะผมเองก็ไม่ชำนาญพอที่จะแบ่งสปีชีส์
ของฝรั่งหัวแดงเหมือนกัน
แต่ผมยังคงเกลียดสายตานั้นของคนฝรั่งเศสจำพวกนั้นอยู่ดี


หลังจากกลับไทยได้สองวัน
ผมอยากฝังตัวอยู่ที่นี่ให้นานที่สุดเท่าจะนานได้
ถ้าไม่เป็นเพราะการเมืองที่วุ่นวาย และน่าเบื่อ
จนลุกลามจนทำให้กรุงเทพ และอีกหลายจังหวัดลุกเป็นไฟ
 ครอบครัวของผมคงไม่นึกจะไปเที่ยวที่ฝรั่งเศสแน่ๆ

เย็นวันนี้ผมต้องออกกำลังกายให้หนัก
หลังจากการพักผ่อนที่ริมชายหาดที่ โดวิลส์
ทำให้ผมขาดความมั่นใจในรูปร่างตัวเองไปมาก
จากการกินอาหารหลายมื้อตามวัฒนธรรมของเขา




ผมรู้สึกไม่ดีตั้งแต่ สตาร์ทเตอร์ เมนคอร์ส และยิ่งรู้สึกแย่มากขึ้น
ตอนที่ต้องปิดท้ายด้วยของหวาน แม้มันจะไม่ได้หวานจนเลี่ยนก็ตาม
ผมชินกับพิธีรีตองของอาหารฝรั่งเศส แต่ไม่ชินกับมื้ออาหารที่เถียงแถว
เข้ามาไม่หยุดของเขา

ผมเลือกเดินทางมาออกกำลังกายที่ฟิตเนสส่วนตัว
รับเฉพาะสมาชิกระดับ VIP และชาวต่างชาติผู้มีอันจะกิน
ตารางเล่นฟิตเนสวันนี้ คือกล้ามเนื้อชิ้นอก และแขนหลัง
ตามด้วยการเดินเร็วอีก 20 นาที จากนั้นจึงรผ่อนคลายด้วยสปา
ไม่ทันที่ผมจะเริ่มบริหารกล้ามอกในท่าที่4 ครบเซ็ต

ฝรั่งคุ้นหน้าคนนึงเดินแล้วมาทักผมด้วยภาษาไทยว่า“ สวัสดี”
ผมจำสำเนียงเน้นตัว R ในลำคอนั้นได้ดี
เขาคือชายฝรั่งเศสคนเดียวกันกับที่ผมเจอใน โดวิลส์  



ผมทักทายเขากลับเป็นภาษาฝรั่งเศส
คำถามถัดมาของเขาน่าแปลกแปลเป็นไทยได้ว่า “กินอะไรแล้วรึยัง”
เราออกกำลังกายด้วยกัน ก่อนจะสนทนากันด้วยความสนิทใจขึ้น

หลังจากเจอกันที่ฝรั่งเศสเขาลองมาเที่ยวประเทศไทย
ตามคำแนะนำของผม โดยเริ่มจากกรุงเทพเป็นที่แรก
เขาสนิทกับผมเร็วเกินกว่าที่ผมจะรู้สึกว่าสนิทกับเขา
หลังจากแลกเปลี่ยนความคิดกัน ผมเข้าใจเพิ่มเติมว่า

ที่ผมรู้สึกไม่ดีต่อคนฝรั่งเศส เพราะผมไม่เคยเข้าใจเขา
แท้ที่จริงแล้วเป็นเพราะ คนฝรั่งเศสมักหลงใหลในภาษาตนเอง
และมักพูดภาษาอื่นไม่ได้ จากการยึดติดความเป็นชาตินิยม
ยึดติดความไพเราะของภาษา และบทกวีที่ดาษดื่น
จึงทำให้เขาอึดอัดเวลาเจอชาวต่างชาติ และต้องพูดภาษาอังกฤษ
แม้ว่าตอนนี้จะเริ่มเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม


ผมยังได้เรียนรู้เรื่องอื่นๆที่ทำให้ผมต้องมองคนฝรั่งเศสในมุมใหม่
และเลิกรำคาญจำนวนขี้หมาในเมืองปารีส
จากนิสัยรักหมาผิดปกติของชนชาตินี้

เพื่อนใหม่ชาวฝรั่งเศสของผมคนนี้
อ่อนโยนและห่วงใยความรู้สึกกับคนที่เขารู้จัก
มากกว่าเพื่อนของผมในประเทศอื่นๆเสียอีก
ซึ่งนี่ก็เป็นนิสัยนึงของคนฝรั่งเศสเมื่อได้รู้จักกันแล้ว

ก่อนแยกย้ายกันกลับที่พัก
ผมบอกความในใจ และขอโทษเขา
“ ผมรู้ว่ามันเป็นความเข้าใจที่สายไป แต่ก็ยังดีกว่าไม่เข้าใจเลย ”

หากผมไม่รีบตัดสินคนตั้งแต่เริ่มทั้งที่ยังไม่เข้าใจ
ผมคงได้รู้จักเพื่อนฝรั่งเศสมากกว่าชายคนนี้แน่ๆ
คงเหมือนกับความแตกแยกในประเทศไทย
ที่หลายๆครั้งเรามักตัดสินคนอื่น จากความเห็นส่วนตัวเพียงลำพัง

“ ผมจะไปเหยียบปารีส ด้วยมุมมมองใหม่อีกครั้ง
โดยไม่อ้างว่าไปเพื่อหนีปัญหาไปพักผ่อน ”





ผมทำเสียงในลำคอให้ชัดเจนขึ้น ก่อนบอกลาเพื่อนชาวฝรั่งเศส
Au revoir ” ( โอฟัวย์ )
ในใจผมกลับอุทานอีกคำนึงว่า “ Formidable!
มันช่างวิเศษจริงๆ
 เมื่อผมได้มองสิ่งที่เกลียด ในมุมมองใหม่
ผ่านหัวใจ มากกว่าแว่นกันแดดของผม 




ผ่านไปเกือบ45นาที ที่ฉันนั่งรอเพื่อฝากของให้เพื่อนแม่ ที่ร้านกาแฟนี้
สักพักนึงมีชาย ใส่เสื้อยืดเก่าๆสีขาว 
กางเกงฟุตบอลขาสั้น รองเท้าแตะเข้ามาทักฉันว่า
ใช่ สาวรึเปล่า?



ทันทีที่ฉันพยักหน้ารับ เขาแสดงตัวกับฉันว่าเป็นคนที่ฉันรออยู่
ฉันมองเขาหัวจรดเท้า และคิดในใจว่า
ที่ฉันต้องตื่นเช้า เพื่อเสียเวลาแต่งตัวให้ดูดี
เพื่อมาพบกับเพื่อนแม่ของฉัน ในสารรูปที่ไม่ได้ให้เกียรติสถานที่
 แถมยังมาสายกว่าฉันตั้ง 45 ที
ฉันเลิกคิดถึงเงินค่าเครื่องสำอางที่จะขอแม่
เพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับภารกิจนี้

ปากที่มักใช้ด่าคนจำพวกนี้
กลับเงียบสนิทเพราะหมดคำที่จะพูดที่จะเอ่ย ทั้งๆที่ฉัน
ใช้มันด่าคนเก่งเสียยิ่งกว่า การจูบที่ช่ำชองเสียอีก



ฉันยื่นของฝากให้ลุงคนนั้น
แล้วเดินหนีออกมาโดยไม่พูดกับเขาสักคำ

ปากของหัวใจพูดในความคิดว่า
ผู้หญิงมาสาย กับผู้ชายมาสายไม่มีวันที่จะเหมือนกัน!!





ในที่สุดผมก็พบแจน แม้เธอจะดูทำท่าผิดหวังที่ผมเชย
และไม่ได้ดูดีเหมือนหนุ่มสไตล์เกาหลีที่เธอชอบ
แต่ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะเธอไม่ได้ถือสาอะไร

หูของผมยังชอบเสียงเธออยู่
 แม้หน้าตาของเธอจะดูดีกว่านั้นมาก
หรือผมทิ้งความสนิทใจไว้ตั้งแต่เริ่มคุยกันแล้วนะ?
ผมได้แต่ลุ้นในใจให้ เคมี ของเราตรงกัน

หลังจากนั้นเรากินอาหารกันอย่างอร่อย
 และคุยกันตามประสาเพื่อนที่ดี
จนผมเหลือบไปเห็นเพื่อนที่เคยเรียนห้องเดียวกัน
นั่งอยู่โต๊ะที่เยื้องออกไป   เขาเอ่ยปากทักผมว่า
 “ ว่าไงวะไอ้จ่อย..แม๋..มากับสาวเชียวนะมึง ร้ายจริงๆ”
หลังจากการทักทายเสร็จสิ้น แจนหันมามองหน้าผม
และพูดย้ำชื่อนั้น “ จ่อย? ”




แจนพูดต่อออกมาอีกคำในเวลาไล่เลี่ยกัน “ ไหนบอกว่าชื่อแจ๊กกี้ไง? ”
เธอทำหน้าบึ้งคิ้วขมวด และบอกกับผมว่า
“ ยินดีที่ได้รู้จักนะ จ่อย แจนต้องกลับแล้วล่ะ
เพื่อนแจนที่เพิ่งรู้จักกันเขาหายไปแล้ว ”




ผมไม่ทันได้แก้ตัว ตอนที่เธอจากไป
เพราะต่อให้เธอฟังคำแก้ตัวของผม ก็คงไม่ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นแน่ๆ
ผมนึกถึงสำนวนภาษาอังกฤษต่อจากเมื่อวานได้ว่า
“ Sometimes the chemistry just isn’t right ?
ไม่เป็นน่ะอาจเพราะเคมีของเราไม่ตรงกัน

หรือ

เพราะผมพูดความจริงช้าไป ?




พนักงานที่มาสายคนนั้น กลับไปทำงานตามเดิม
ผมเห็นแววตาที่ไร้ความสุขนั้น
จากการถูกตำหนิอย่างหนักของเจ้านาย

        เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
 และไม่พูดอะไรออกมาอีกเลยในวันนั้น


เขาทำให้ผมคิดถึงภาพตัวผมเองในวันนั้น
วันที่ผมไปไม่ทันส่งเธอ
และไม่ได้พูดความในใจอีกเลย จนถึงวันนี้

เวลาหนึ่งนาทีมีความหมายมากจริงๆ
หากเราได้ทำอะไรพลาดไป
จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา หนึ่งนาทีที่สายไปของผม
หยุดนิ่งอยู่อย่างนั้นตลอดกาลจนถึงวันนี้

ผมเปิดอีเมล์ของเธอขึ้นมา
 และพิมข้อความไม่ยาวนักเพื่อส่งถึงเธอ

“ ถึงวันนั้น วันที่ผมไปไม่ทันส่งคุณ
ความในใจผมในวันนั้นจนวันนี้ อยากบอกว่าคุณว่า
 ผมเสียใจกับทุกๆเรื่องทิ่เกิดขึ้นระหว่างเรา
ขอโทษจริงๆนะที่ไม่ทันได้บอก ผมรักคุณครับ ”


การมาสายมันยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยหรือ ?
ทั้งที่คิดคำถามขึ้นมาลอยๆ ผมกลับตอบตัวเองว่า
ใช่สิ มันยิ่งใหญ่! ”

..............










ปล. ขอขอบคุณการตรวจคำผิดจาก @MisTButterFly ครับ


16 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เสียงดีหน้าตาน่าไปออกเทปค่ะ อ้าวเกี่ยวกับเรื่องไหมเนี๊ย เอาเป็นว่า คุณเจ๋งแค่เนี๋ย ไปล่ะ :P

coHd กล่าวว่า...

..เอิ่ม รู้สึกว่าเสียงคนเขียนจะขโมยซีนลุงหนวดสะแล้ว
เกี่ยวก็เกี่ยวครับ! ..ขอบคุณที่comment นะครับ มันมีค่ากับผมในการทำเหลี่ยมลุงหนวดจริงๆ ^^

NamzZa กล่าวว่า...

ชอบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ

ทั้งเพลง... ทั้งเรื่องเลยค่ะ

ชอบการเขียนเกี่ยวกับช่วงเวลาของคุณจริงๆเชียว...

ที่ถูกใจเป็นพิเศษในบทที่3ของน้ำ
คงจะเป็นเรื่องเจ๊ตเติ้ลแมนล่ะค่ะ

ทั้งเรื่องถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนจีน (โดนบ่อยพอกัน สงสัยว่าคราวหลังโดนทักภาษาจีนมาต้องตอบกลับภาษาไทยดูบ้างแล้ว ฮ่าๆ)
แล้วก็เรื่องเสียดายที่รู้จักตัวตนช้าเกินไป T-T

อ่านแล้วก็คิดเหมือนลุงหนวดนะคะว่า
"การมาสายมันยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ?"

ถ้าเป็นเมื่อ 2 ปีก่อน น้ำมาอ่านบทความนี้
ก็คงจะบอกว่า ... ไม่สำคัญขนาดนั้นหรอกมั้ง

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เมื่อ 2 ปีก่อน
เพราะงั้นคำตอบคงจะเป็น "ใช่เลย มันสำคัญมั่กๆ"

แต่ก็นะ.. บางทีก็ต้องคิดว่า ก็สายไปแล้ว..ทำอะไรไม่ได้ แก้อะไรไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องปลง!!
(เกี่ยวมั้ยยยยย)

พูดถึงเรื่องคนฝรั่งเศสก็จริงนะคะ เมื่อก่อนน้ำก็คิดแบบเจ๊ตเติ่ลแมนนั่นแหละ
จนพอมาได้รู้จักเพื่อนคนฝรั่งเศสที่นิก็เลยรู้ว่า เราคิดไปเอง ... แต่นั่นแล
คุณเพื่อนก็ได้กลับประเทศไปเรียบร้อยแล้ว ฮือๆ

แหม๋ะ ... คอมเม้นท์ไม่ค่อยตรงประเด็นตามคอนเซปเช่นเคยแหละค่ะน้ำ

แต่ชอบบทเรียนนี้ม๊ากกก
เค้าต้องเรียกว่า "คุ้มค่าการรอคอย" ใช่มั้ยคะคุณ ^^

ปล. ac tweets คุณนิเพิ่มขึ้นทุกวันๆ กำลังจะได้ฤกษ์ตั้งกลุ่มไว้ follow บรรดาคุณลุงหนวดแล้วคะเนี่ยยยยย

ปว. รูปสาวหนวดในฝันได้ใจมากกกก

ปศ. คิดถึงมากมายค่ะ หวังว่าคุณคงสบายดี ในทุกๆเรื่องนะคะ

ขอบคุณสำหรับบทความดีๆค๊าาา

ตอนนี้คงต้องไปก่อนล๊ะ ... เดี๋ยวจะได้ไปทำงาน"สาย"พอดี ;))

NamzZa กล่าวว่า...

รู้สึกว่า ... จะเอาไอดีผิดอันมาเม้นท์
ฮ่าๆๆๆ จำพาสไม่ได้ สุ่มมั่วซะงั้นน้ำ

ขออภัยทั้งคุณทั้งลุงหนวดนะค๊าา >w<
มาแก้ตัวอีกที :P

coHd กล่าวว่า...

โหว์ ขอบคุณความเห็นของ @NamzZa
ที่เป็นกำลังใจเสมอต้นปลายมากจริงๆครับ
ผมเขียนบทความอิ่มท้องก็เพราะความใส่ใจแบบนี้ล่ะ

..ส่วนเรื่อง ของแจ๊กเติ้ลแมน ที่ตรงกับคุณเนี่ย
ดีใจมากครับ ที่ผมค้นข้อมูลของผมยังไม่เพี้ยนมาก
แต่จะตรงไม่ตรงก็ต้องถามคนที่มีประสบการณ์ตรงไว้ก่อน
ถ้าคุณน้ำบอกว่ามันคล้าย ผมก็ดีใจจริงๆที่มันพอจะสะท้อนอะไรได้บ้าง

^^

> ผมสบายดีครับ คุณน้ำล่ะ?
> ac twt มีเยอะเพราะผมแบ่งอารมณ์,ความรู้สึก,ความคิดไว้ชัดเจนในแต่ละอัน

ผมไม่อยากให้มันมาปนกัน พอผมอยากขุดมันมาใช้
ในชีวิตประจำวัน หรือ เรียนรู้ตัวเองจากสิ่งที่คิด
ผมจะได้ไม่ต้องเหนื่อย กรองมันอีกทีครับ

ส่วน ac twt ที่มีก็เช่น

@coHd_ : ห้องนั่งเล่นแห่งความคิด
@_coHd : ห้องนั่งเล่นแห่งความคิด(พิเรน)
@coHd__ : ห้องนั่งเล่นแห่งความรัก
@__coHd : ห้องนั่งเล่นแห่งความเกลียด
@__coHd__ : ห้องนั่งเล่นแห่งบทเรียน
@_coHd_ : ห้องนั่งเล่นแห่งตัวตน

เพราะทุกอันคือ twt มูลค่าเพิ่ม
ที่ผมจะเอาไว้สอนตัวเองในอนาคต หรือ อาจเป็นหนังสือของตัวเองจากบทความสั้นๆ

ผมจึงชอบลบ และไม่ค่อยmention กับคนอื่นมากนักครับ

เราอาจมีเหตุผลในการใช้ทวิตเตอร์ต่างกันจริงๆ
แล้วแต่ความสุขของแต่ละคนที่จะใช้มันแบบไหน
ถ้าเป็นในแบบของผม ก็คงเป็นแบบนี้แน่ๆครับ


ขอบคุณ คุณน้ำจริงๆที่ยังเป็นเพื่อนทางความคิด
ที่ดีแสนดีเสมอมา และเสมอไป

ปล.

> ถึงเวลาอัพบลอคของคุณบ้างแล้วสินะ ฮา
> คิดถึงตามประสาครับ ^^

.. ผมเขียน comment ตอบคุณตอนสายๆพอดีเลย
แต่ก็ยังไม่สายไปจริงๆ .. แฮ่ๆ :"D

faii กล่าวว่า...

บอกไม่ถูก
รักเลย
รักถ้อยคำลุงหนวด
รักลายเส้นลุงหนวด :)
รักการถ่ายทอดเรื่องราวเล็กๆน่ารักๆ
แต่ความหมายไม่เล็ก :)

coHd กล่าวว่า...

ขอบคุณครับคุณฝ้าย
ผม...บอกไม่ถูกเลยว่ารู้สึก!

dokpeep กล่าวว่า...

ดีใจจังค่ะ ที่ได้ทราบข่าวว่า นิตยสารรายปักษ์ใจอ่าน เล่มโปรดของดอกปีบ ได้ฤกษ์ออกบทเรียนที่ 3 แล้ว
....แต่ก็ที่จะ "สาย" เกินไป รบกวนคุณcoHd ช่วยกรุณากลับไปคอมเมนต์ของคน"ไม่มีเวลา" ในบทเรียนที่2ก่อนจะขอบคุณมากๆค่ะ

...แล้วสัญญาค่ะ ว่าคอมเมนต์บทนี้ จะไม่ให้"สาย"เกินไปกว่าที่คุณคาดคิดแน่นอน 555

jomyut001 กล่าวว่า...

...เฮ่อๆ ผมมาอ่าน "สาย" กว่าทุกคนจริงๆ
นับเป็นเช้าวันเสาร์ที่ผมตื่นขึ้นมา เปิดคอมพ์
แล้วยิ้มไปกับข้อความ ที่คุณเขียนจริงๆ

..."ลุงหนวด" เป็นเรื่องที่ผมอ่านจบแล้ว
ถามตัวเองทุกครั้งว่า "คิดได้ไง" ตัวละคร
ทุกตัว แบ่งแยกกันชัดเจน จนเหมือนคนแต่ง
เป็นคนละคน โดยมีโจทย์ ชื่อตอนมากำหนด
ให้ทุกตัวละครไปพบเจอ เจ๋งจริงๆกับแนวคิดนี้...

...อยากบอกว่าชอบครับ...สำหรับเรื่องนี้
คุ้มค่ากะการรอ...และจะรอบทเรียนต่อไปครับ


.................................
จอมมารฯ

coHd กล่าวว่า...

โหว์ ..ขอบคุณๆจอมมารฯมากเลยครับ
นี่เป็นกำลังใจที่ดีในการทำบทเรียนต่อไปเลยครับ
(ขอโทษที่มาตอบช้ามากๆ ผมติดนิสัยเขียนแล้วชอบทิ้งไว้ ฮาๆ)

แต่ละเหตุการณ์ของตัวละครแต่ละตัว
มาจากการศึกษาข้อมูลจาก google ครับ
ไม่ได้เป็นประสบการณ์โดยตรงของผมเองเลย

หมายความได้ว่า กว่าจะเขียนแต่ละบทเรียน
ก็ต้องมุ่งไปที่ความสนใจอะไรสักอย่าง
ที่ผมไม่เคยเรียนรู้มาก่อน
วิธีของผมคือ หาข้อมูลหลัก > ข้อมูลแย้งกัน > ความคิดเห็นจากกระทู้ครับ

ซึ่งส่วนใหญ่มักใช้อารมณ์กระทู้ที่ผมชอบ
เป็นความคิดเห็นหลักของ ตัวละครในความรู้สึกนั้นๆ
ที่ให้ THEME ไว้ตอนต้นแล้ว

รู้แบบนี้ ก็ง่ายขึ้นเลยใช่ไหมครับ?
ฮาๆ ผมเขียนให้ซับซ้อนไปเอง แต่จริงๆผมเชื่อว่า
ใครก็น่าจะเขียนแบบผมได้หมดทุกคน

ที่ผมดีใจมากกว่านั้นคือ คำพูดที่คุณจอมมาร บอกว่าชอบ
เนี่ยล่ะครับ มันกินใจผมที่สุด


ขอบคุณนะครับ ผมจะแวะเข้าไปอ่านของคุณจอมมาร
แล้วcomment ให้ถึงกึ๋น สไตล์ผมบ้าง
แต่รอสักหน่อยนะครับ เพราะเวลาอ่านบลอคของคนสนิท
แต่ละที ผมต้องใช้สมาธิมาก และไม่เคยอ่านของใครผ่านๆเลย
แม้บางครั้งความเห็นจะสั้น แต่นั่นก็มาจากความเข้าใจผมทั้งหมด

ขอบคุณกำลังใจดีๆ ที่เราคลุกคลีกันมานานครับ

ปล.
> ขอบคุณท่านจอมมารที่กลายเป็นจอมใจไปแล้ว ฮา
> ขอบคุณที่รอติดตาม บทเรียนต่อไปครับ ^^

dokpeep กล่าวว่า...

ดอกปีบคิดว่าดอกปีบก็คงจะเป็นคนสุดท้าย(อีกแล้ว) ที่เดินเข้ามาตอบคำถาม ของบทที่ 3 ของลุงหนวดที่ว่า “การมาสายมันยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยหรือ”

รู้มั้ยค่ะว่าครั้งนี้เป็นการพิมพ์คอมเมนต์ที่เศร้าที่สุดของดอกปีบเลยก็คงว่าได้

เพราะตอนนี้ดอกปีบถูกคำว่า “สาย” เล่นงานอยู่นั่นเอง การพิมพ์ตัวอักษรผ่านแป้นพิมพ์เพื่อทดแทนลายมือเขียนจากข้อความที่เราเขียนเอาไว้ ช่างรู้สึกแห้งเหี่ยวในหัวใจกับคำว่า “สาย”

แต่นี่ก็อาจทำให้ดอกปีบรู้สึกไปกับบทเรียนที่สามได้อย่างชัดเจนและเข้มข้นมากยิ่งขึ้นกว่าที่คิดไว้เลยทีเดียวล่ะคะ


ก็อย่างที่ดอกปีบเคยบอกไว้แหละค่ะ ว่าด้วยความที่ดอกปีบชอบบทเรียนที่2 มาก
และรู้สึกว่าถ้าเป็นอาหารก็คงเป็นอาหารจานใหญ่ที่อาจจะย่อยยาก
แต่หลังจากย่อยและดูดซึมมันได้แล้ว ต้องบอกว่า มันเยี่ยมมากและเป็นอาหารที่อร่อยจริงๆ 555

ดังนั้นเมื่อต่อเนื่องมายังบทที่3 ทันทีที่อ่านบทที่ 3 จบ สิ่งแรกที่รุ้สึก ก็คือ....ว๊า ...จบแล้วเหรอ ทำไมวันนี้ลุงหนวดเสิร์ฟอาหารจานเล็กให้เราน๊า..555

งั้นลองมาดูกันซิว่า แล้วบทเรียนที่3นี้ ทำให้ดอกปีบรู้สึกยังไงบ้าง



ถ้าให้สรุปเพียงแค่ง่ายๆสั้นๆ

ดอกปีบว่า บทเรียนที่3 อาจไม่ได้มีเนื้อหาเยอะหรือย่อยยากจนเกินไป
ดอกปีบว่าค่อนข้างย่อยได้ง่าย (ยอมรับว่าตอนแรกรู้สึกว่ามันย่อยง่ายเกินไปหรือเปล่า 555 ) แต่ดูดซึมได้ไว 555

แต่ถ้า ใครหลายๆคนที่ได้อ่านดอกปีบว่าเค้าน่าจะรู้สึกจะประทับใจ
และน่าจะทำให้ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องย้อนกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองด้วยคำถามแรกที่ลุงหนวดแกขึ้นต้นเอาไว้ ว่า“การมาสายมันยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยหรือ” จริงมั้ยค่ะ ผู้อ่านทั้งหลาย
ไม่เชื่อก็ลองถามตัวเองดูซิค่ะว่าใครอ่านแล้วย้อนกลับมาถามประโยคนี้กับตัวเองบ้างลองยกมือขึ้น ดอกปีบว่าคงแทบจะทุกคนที่เข้ามาอ่านแน่ๆ 555

เพราะดอกปีบว่าพอค่อยๆอ่านและซึมซับเรื่องราวของบทเรียนนี้แล้ว ดอกปีบว่ามันดีและเหมาะสมกับเนื้อหาของบทเรียนนี้นะคะ

เพราะเสน่ห์ของบทเรียนนี้มันอยู่ตรงที่ว่า
คุณcoHd... คุณรู้ว่า มันควรจะเข้าใจได้ง่ายกับคำว่า “สาย” ที่ใครต่อใครก็คงเคยเจอ
เพียงแต่ว่าความรู้สึกและปฏิกิริยาต่อคำว่า สาย นั้น เราให้มันสำคัญกับมันมากแค่ไหนและแตกต่างกันไปในแต่ละคน

dokpeep กล่าวว่า...

ถ้าถามดอกปีบว่าดอกปีบชอบบทเรียนที่ 3 หรือไม่

แน่นอน....ดอกปีบก็คงต้องบอกว่าชอบอยู่แล้วล่ะค่ะ ก็ดอกปีบเป็นแฟนคลับตัวยงของนักเขียนคนนี้นี่น๊า 555
แต่ตอนที่กำลังพิมพ์คอมเมนต์เนี่ยจะบอกว่า ยิ่งอ่านรอบสุดท้ายเนี่ย ยิ่งอินจัดเข้าไปใหญ่
เพราะตอนนี้ดูเหมือนดอกปีบเองก็คล้ายจะกลายเป็นคนที่สายจนเกินจะให้อภัยซะแล้ว ( ฮือ ฮือ )


แต่ถ้าถามในฐานะบอกอเหลี่ยมลุงหนวดล่ะก็ ก็ต้องถามว่าดอกปีบชอบบทเรียนที่ 3 นี้ตรงไหน

ก็คงต้องบอกว่า ดอกปีบชอบตรงความละเอียดอ่อนค่ะ
ในแง่ของวิธีการเขียน คุณทำให้ดอกปีบหลงทางได้โดยสนิท เพราะบทเรียนนี้คุณไม่ได้ใช้ความยากในการนำเสนอ

แต่คุณเลือกใช้ความเรียบง่ายของหลายๆเหตุการณ์ที่หลายๆคนคงเคยเจอแต่ไม่เคยเอากลับมาย้อนคิด
ซึ่งดอกปีบว่า มันละเอียดอ่อนด้านความรุ้สึกที่รับรู้ของตัวละครแต่ละคนที่ต่างกันออกไป เมื่อรวมกับการนำเสนอแบบเรียบๆแต่เข้าใจง่าย เลยทำให้เวลาเราอ่านแล้วทำให้เราอินแล้วเผลอคิดตามตัวละครในแต่ละตัวว่า อืมม เราก็เคยมีเหตุการณ์นี้เช่นเดียวกันนี่นา


งั้นดอกปีบก็คอมเมนต์อย่างที่ดอกปีบรู้สึกแล้วกันนะคะ....


คำถามลอยๆของลุงหนวด “การมาสายมันยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยหรือ”

คำตอบที่ตอบด้วยหัวใจของคนที่ “สาย” (แต่ก็ไม่เคยอยากให้มันสายเกินไป) ก็คงต้องตอบว่า ใช่ค่ะ มันยิ่งใหญ่มาก



ดอกปีบชอบตรงการบรรยายของลุงหนวดถึงเวลา 1 นาที ว่ามันมีความหมายแค่ไหนในแต่ละสถานการณ์ที่แตกต่างกัน

ไม่ว่าจะเป็น
-พลาดการตอกบัตร
-พลาดการส่งกระดาษคำตอบ
-หรือพลาดการขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย - อันนี้อินสุดๆ เพราะดอกปีบเคยไปไม่ทันรถไฟเพียงแค่ 1 นาที ....แต่เป็นนาทีที่โคตรเศร้าเลยจริงๆ เพราะเห็นรถไฟวิ่งจากไปต่อหน้าต่อตา แต่ไม่อาจรั้งไว้ได้ ยังคงยืนอึ้ง มองเธอ(รถไฟ)จากไปจนลับตา 555



ซึ่งการเปรียบเทียบของคุณ มันทำให้ดอกปีบนึกถึง ข้อความอันนึง ที่ว่า......


“ ถ้าอยากรู้ว่า 1 ปี มีค่ามากเพียงใด ...ให้ไปถามนักเรียนที่สอบไล่ตก
ถ้าอยากรู้ว่า 1 เดือน มีค่ามากเพียงใด ...ให้ไปถามมารดาที่ต้องคลอดบุตรก่อนกำหนด
ถ้าอยากรู้ว่า 1 สัปดาห์ มีค่ามากเพียงใด ...ให้ถามบรรณาธิการหนังสือรายสัปดาห์
ถ้าอยากรู้ว่า 1 ชั่วโมง มีค่ามากเพียงใด ...ให้ถามคู่รักที่ต้องรอเวลาจะพบกัน
ถ้าอยากรู้ว่า 1 นาที มีค่ามากเพียงใด ...ให้ถามคนที่พลาดรถไฟ รถประจำทางหรือเครื่องบิน
ถ้าอยากรู้ว่า 1 วินาที มีค่ามากเพียงใด ...ให้ถามคนที่รอดจากอุบัติเหตุอย่างหวุดหวิด
ถ้าอยากรู้ว่า 1 เสี้ยววินาที มีค่ามากเพียงใด ...ให้ถามนักกีฬาโอลิมปิกที่ได้เหรียญ

...เวลาไม่เคยรอใคร เราควรใช้เวลาทุกขณะอันมีค่ายิ่งให้ดีที่สุด
และจงแบ่งปันเวลาให้กับใครบางคนที่เป็นคนพิเศษที่เรารัก......”



การมาสายครั้งยิ่งใหญ่ของลุงหนวด ที่บอกว่าไปไม่ทันส่งแฟนเก่า ...ทำให้ไม่ทันได้พูดความในใจ ดอกปีบว่าเป็นการมาสายที่รู้สึกเศร้าในหัวใจได้ยาวนาน

อย่างที่ลุงหนวดบอกนั่นแหละค่ะ

“เวลาหนึ่งนาทีมีความหมายมาก ถ้าหากคุณได้ปล่อยให้ใครสักคน เข้าใจคุณผิด โดยที่คุณไม่มีโอกาสได้อธิบาย”

และแม้ว่าลุงหนวดจะส่งอีเมลล์ไปบอกแล้วก็ตามว่า ..ขอโทษที่ไม่ทันได้บอกว่าผมรักคุณ ........ดอกปีบว่าลุงหนวดคงเข้าใจได้ดีว่ามันอาจไม่สายเกินไปที่จะพูดความในใจ
แต่ก็อาจสายเกินไปแล้วสำหรับใครบางคนที่เลิกรอคำอธิบายของเราไปแล้ว


ลุงหนวดบอกว่า “......เวลาหนึ่งนาที มีความหมายมากจริงๆ ถ้าผมรู้ว่า ว่าผมจะต้องเริ่มนับเวลาที่แสนนานครั้งใหม่ เพื่อแก้ไขเวลาหนึ่งนาทีนั้นอีกครั้ง ผมทำได้แต่คิดการแก้ตัวครั้งต่อไปว่า “ผมจะต้องตรงเวลาให้มากกว่านี้”



แน่นอนค่ะ อีกแง่คิดดอกปีบจะจำไว้เพื่อแก้ไขต่อไป ........ดอกปีบจะต้อง “รักษา”เวลาให้มากกว่านี้

…เพราะดอกปีบยังไม่รู้ว่าดอกปีบจะตรงเวลากับทุกสิ่งทุกอย่างได้มากแค่ไหน แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ดอกปีบจะต้องรักษาเวลาเอาไว้ให้ดีที่สุดแล้วกันนะเวลา....

dokpeep กล่าวว่า...

....สำหรับ “ลุงขวด” ในบทเรียนนี้ ทำให้ดอกปีบรู้สึกว่า แม้แต่บทบาทด้านการเมืองก็ยังมีคำว่า “สาย”

ลุงขวดบอกว่า .... มันอาจ “สายเกินไป”แล้วสำหรับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นใหม่ เพราะพวกเขาไม่ได้สนใจมันมาตั้งแต่ต้น...


“….ยิ่งกว่านั้นปัญหายังกระจายออกไปในวงกว้าง จน “สายเกินกว่า”จะสร้างความเข้าใจใหม่ ผลงานของเขาคือการสร้างความแตกแยกที่เกินกว่าจะให้อภัย…”


“........ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอาจ “สายเกินกว่า”จะแก้ไข…..”


แม้ว่าในหลายๆประโยคที่เอ่ยมา ล้วนแล้วแต่จะทำให้เราเริ่มโอนเอียงตามไปว่า หรือว่ามันจะสายเกินไปจริงๆ ?สำหรับปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้น

แต่พออ่านไปเรื่อยๆ ปรากฏว่า ประโยคที่ดอกปีบชอบที่สุดของลุงขวด คือสองประโยคนี้ค่ะ คือ

“เรารักกันโดยไม่มีความบกพร่อง”

และ “ไม่สายหรอกหากจะมีส่วนร่วมเพื่อการเมืองที่ดีขึ้น”

เพราะดอกปีบคิดว่า มันให้ความรู้สึกที่เป็นด้านบวกของคำว่าสายเกินไป

เพราะแม้แต่ลุงขวดผู้ที่พยายามเข้าใจการเมืองมาแต่ต้นจนคิดว่าบางทีมันก็สายเกินไป ....ก็ยังเอ่ยในตอนท้ายว่า ไม่สายเกินไปหรอก...

เพราะฉะนั้นบางที สายเกิน หรือ ยังไม่สาย อาจต้องคิดว่าคุณใช้สิ่งไหนกันเป็นตัวตัดสิน




....ส่วน “สาว” ในบทเรียนนี้

ดอกปีบว่า คุณเข้าใจการใช้เวลาสำหรับการแต่งตัวของผู้หญิงดีมาก คุณรู้ได้ไงเนี่ย ทำการบ้านมาดีมาก 555

นอกจากนี้ ช่างบังเอิญจริงๆที่ดอกปีบยังเจอ คำว่า “สาย”เต็มไปหมด

ไม่ว่าจะเป็น สายรถเมล์ สายตาคนขับแทกซี่ หรือแม้แต่กระทั่ง “รู้อย่างงี้ใส่ส้นเตี้ยมาสะก็ดี”

... เพราะคำว่า “รู้อย่างงี้” เป็นคำที่เรามักจะบ่นบ่อยเวลาที่เราเพิ่งรู้ตัวว่า”สาย”เกินไปแล้วที่จะย้อนกลับไปทำอีกทางหนึ่ง



แต่ที่น่ารักที่สุด เห็นจะเป็นประโยคนี้ “บางทีฉันก็อยากสลัดความสวยขึ้นรถเมล์ เพื่อให้เป็นคนปกติคนนึง”

...555 แหม ชอบใจจริงๆ

เพราะแม้ว่าในรูปประกอบที่คุณวาด เราจะไม่ได้เห็นองค์ประกอบอื่นใดของใบหน้าโดยละเอียด(นอกจากปาก)

แต่พอได้ยินประโยคนี้ของสาว
ดอกปีบชักเริ่มเชื่อในความเชื่อมั่นของเธอแล้วล่ะคะว่าเธอสวยจริงๆ 555


แต่ถ้าเป็นประเด็นเรื่อง “สาย” ล่ะก็ ดอกปีบก็ยังข้องใจว่า
จริงหรือไม่ “ว่าผู้หญิงมาสาย กับผู้ชายมาสาย ไม่มีวันจะเหมือนกัน”

แค่สงสัยว่าสาวเธอมองว่าต่างกันตรงไหน เพราะดูแล้วสาวเหมือนจะโกรธจนหมดคำพูดที่จะเอ่ย เพราะเธอคงรู้สึกว่ามันสายเกินไปกว่าที่จะมาแก้ตัว

หรือไม่ถ้าเช่นนั้นแล้ว ผู้หญิงที่มาสายจะได้รับการให้อภัยได้ง่ายกว่าผู้ชายงั้นหรือค่ะ

หรือไม่ จริงๆแล้วสิ่งที่จะทำให้ไม่เหมือนกันของการมาสาย ไม่ได้อยู่ที่ผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่อยู่ที่ความอดทนของคนที่ต้องรอเพียงฝ่ายเดียวหรือไม่

หรืออาจขึ้นอยู่กับว่าการรอคอยนั้นเป็นการรอคอยที่คุ้มค่าการรอคอยมั้ยจึงจะให้ความไม่เหมือนกันของการรอและเหตุผลของการมาสายจึงจะไม่แตกต่างกัน?



.....ส่วน “จ่อย” ในบทเรียนนี้ดอกปีบว่า จ่อยน่าสงสารที่สุดเลย

เพราะแม้ว่าจ่อยจะเป็นคนที่ชอบให้หูฟังเสียง แต่ครั้งนี้จ่อยคงกำลังอยู่ในอาการที่เกือบๆจะเรียกได้ว่า ตกหลุมรัก

ดังนั้น เลยอาจลืมฟังเสียงหัวใจตัวเองให้ดีก่อน

เพราะการพูดว่า “การโกหกครั้งนี้ไม่เลวร้ายนักหรอก”นั้นเป็นเพียงการปลอบใจตัวเอง

ถ้าฟังเสียงหัวใจและความคิดให้แจ่มชัดกว่านี้
จ่อยอาจจะรู้ได้โดยไม่ต้องรอให้สายเกินไปในตอนท้ายแล้วบอกกับตัวเองว่า “หรือเพราะผมพูดความจริงช้าไป”

แต่ที่แย่ยิ่งกว่าคือจ่อยไม่มีแม้แต่โอกาสสำหรับคำอธิบายของความเป็นจริง


เรื่องของจ่อย ทำให้คิดว่า มันเป็นจริงเสมอมั้ย ว่า ...

คำอธิบายของความจริงที่สายจนเกินไป...มันไม่มีความหมายและไม่จำเป็น?

dokpeep กล่าวว่า...

.....และสำหรับ “แมน”

...ดอกปีบชอบมุมมองของคำว่า “สาย” ของแมนมากที่สุดค่ะ ในบทเรียนนี้

เพราะดอกปีบว่าในมุมมองของเจ๊ตเติล แมน คำว่าสายเกินไป แต่ก็ยังโอกาสอีกครั้งอยู่ดี


เจ๊ตเติล แมน บอกว่า “...ที่ผมรู้สึกไม่ดีต่อคนฝรั่งเศส เพราะผมไม่เคยเข้าใจเขา...”


และที่บอกว่า “ผมรู้ว่ามันเป็นความเข้าใจที่สายไป แต่ยังดีกว่าไม่เข้าใจเลย”

และ

“หากผมไม่รีบตัดสินคนตั้งแต่เริ่มทั้งๆที่ยังไม่เข้าใจ ผมคงได้รู้จักเพื่อนฝรั่งเศสมากกว่าชายคนนี้แน่ๆ .....หลายครั้งเรามักตัดสินคนอื่น จากความเห็นส่วนตัวเพียงลำพัง”


อ่านแล้วทำให้ได้รู้สึกว่า ดีหรือไม่ดี สายหรือไม่สาย อยู่ที่ “มุมมอง”+ “ระยะเวลา” แล้วหารด้วย “ความเข้าใจ”
จึงพอจะประเมินค่าความรู้สึกที่ต่างกันออกไปสำหรับแต่ละคน


และแน่นอนค่ะ คำพูดสรุปจบที่มีความหมายดีๆของเค้าที่ดอกปีบชอบมาก

ที่บอกว่า “เมื่อผมได้มองสิ่งที่เกลียดในมุมมองใหม่ ผ่านหัวใจ มากกว่าแว่นกันแดดของผม”


...........เพราะนั่นหมายถึง second chance โอกาสครั้งที่2

....หรืออาจเพราะมันยังไม่สายเกินไปและยังไม่สายเกินจะให้อภัย



....เมื่ออ่านจบ ดอกปีบแทบจะรู้สึกว่า ถ้าจะมองในอีกแง่มุมหนึ่ง บทที่3 เหมือนยิ่งช่วยเติมเต็มและขยายความ บทเรียนที่2เรื่องไม่มีเวลา เหมือนกันนะคะเนี่ย


และจะว่าไปแล้ว ถ้ามองเรื่องคำว่า “สาย” ในแบบรวมๆของตัวละครแต่ละคน

ดอกปีบว่า คุณcoHd ก็แทบจะนำเสนอได้ครอบคลุมทุกระดับความรุนแรงของคำว่า “สาย” แล้วละมั้งค่ะ

เพราะ...

สาว.. นี่ดอกปีบรู้สึกว่าให้อารมณ์ สายเกินจะให้อภัย รับไม่ได้

ลุงขวด .. ให้ความรู้สึก แค่เป็นกลางๆ รู้ว่าสายอย่างเข้าใจ และรู้ว่ามันก็ไม่ได้สายจนเกินจะเข้าใจ

จ่อย.. นี่ให้ความรู้สึก แบบว่า สายเสียแล้วที่เพิ่งมาเข้าใจ และไม่มีโอกาสที่จะได้ทำแม้แต่อธิบาย

ลุงหนวด .. ให้ความรู้สึกว่า แม้จะสายเกินไปแล้วที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ก็ไม่สายเกินไปสำหรับความเข้าใจที่ได้อธิบายออกไป

และแมน ... ให้ความรู้สึกว่า ดูเหมือนจะสายเกินไป แต่กลับพบว่าในคำว่า “สาย” กลับไม่ได้สายเกินไป ...อย่างน้อยก็รู้สึกว่าเป็นด้านบวก ของคำว่า “สายเกินไป” อาจเปลี่ยนไป เมื่อได้รับความเข้าใจและให้อภัย


..แต่แน่นอน มีอีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องจำไว้เสมอ ก็คือ ...โอกาสครั้งที่2 ไม่มีไว้สำหรับทุกคน....

dokpeep กล่าวว่า...

คุณcoHdคะ...ดอกปีบได้อ่านบทเรียนที่ 3นี้อีกรอบ พร้อมกับรู้สึกราวกับว่า ดอกปีบจะเป็นตัวละครตัวที่6 ของเหลี่ยมลุงหนวดซะแล้วตอนนี้555

ความเข้าใจในคำว่า “สาย” ครั้งนี้ ทำให้การอ่านรอบสุดท้ายรู้สึกอินสุดๆ 555

...แต่แน่นอนค่ะ ตอนพิมพ์คอมเมนต์เพิ่มนี่โคตรจะเศร้าเลย

เพราะตอนนี้มีเพื่อนสนิทของดอกปีบคนนึงที่กำลังมองดอกปีบในมุมมองของคำว่า “สาย”

คงจะเรียกได้ว่ากำลังจะเป็นสายเกินไปแล้วล่ะคะ

ไม่รู้ว่าเค้าเคยอ่านเหลื่ยมลุงหนวดหรือเปล่าเนี่ย แต่ดอกปีบรู้สึกราวกับโดนทุกอารมณ์ของตัวละครในบทเรียนที่3นี้กันเลยทีเดียว 555

....เพราะคำแก้ตัวใดๆของดอกปีบก็คงมีความหมายเท่ากับการไม่ต้องพูดอะไร เหมือนพนักงานใหม่ที่ลุงหนวดแอบมองที่มาสายแล้วโดนเจ้านายด่า

...ข้อเท็จจริงใดๆที่ดอกปีบอยากจะพูดไปก็คงไม่สำคัญ เพราะดูเหมือนเพื่อนของดอกปีบคงจะมองเห็นแต่ความไม่ใส่ใจ และความไม่เข้าใจในการ “สาย” ของดอกปีบ
จนเรียกได้ว่า สายจนเกินกว่าจะสร้างความเข้าใจใหม่อย่างที่ลุงขวดแกพูดเรื่องการเมือง

...คำพูดของเพื่อนสนิทดอกปีบที่เอ่ยล้วนแล้ว แต่ต้องการรูปธรรมที่เป็นจริงที่มองเห็นและเข้าใจได้ด้วยตา
มากกว่าคำพูดใดๆของดอกปีบที่เค้ารู้สึกได้ว่าคงเป็นแค่นามธรรม ...ก็คงคล้ายกับสายตาของสาว
ที่มองเห็นการแต่งกายที่แสนธรรมดาของเพื่อนแม่ที่มาสายกว่าสาวถึง45นาทีและก็อยู่ในสารรูปที่ดูไม่ได้ในสายตาของสาว แล้วสาวก็เดินจากไป
ด้วยความรู้สึกแบบ เกินจะให้อภัยและหมดคำพูดที่จะเอ่ย ...เฮ้อ ตอนนี้เพื่อนสนิทของดอกปีบก็คงมองดอกปีบด้วยสายตาและความรู้สึกเช่นนั้นแหละค่ะ

....เพื่อนสนิทของดอกปีบคงรู้สึกว่าดอกปีบปล่อยปละละเลยและรู้สึกไม่ดีที่ต้องรอคอย
คำพูดของเพื่อนสนิทที่เอ่ยถามทิ้งไว้แต่ละคำ ก่อนจะจากไป ....ทำให้ดอกปีบรู้สึกเหมือนเป็นไอ้จ่อย ที่หญิงสาวคนนั้นเดินจากไปโดยที่จ่อยยืนอยู่พร้อมความรู้สึกว่าสายเกินจะให้อภัย

.....ส่วนสิ่งที่ดอกปีบพอจะทำได้ก็คือแม้มันจะสายเกินไป ...คือดอกปีบก็ต้องพยายามอธิบายให้เพื่อนดอกปีบรู้ว่าดอกปีบรู้สึกยังไง
ก็คงเหมือนลุงหนวด ที่ตัดสินใจส่งอีเมลล์ไปบอกแฟนเก่าที่ไปส่งไม่ทัน

....และสิ่งสุดท้ายที่ดอกปีบรอคอย ก็คือ ....ดอกปีบได้แต่หวังว่า เพื่อนสนิทของดอกปีบจะยอมทำในสิ่งที่แมนบอกไว้
คือมองสิ่งที่เกลียดในมุมมองใหม่ผ่านหัวใจมากกว่าแว่นกันแดดของผม

....เพื่อว่าสุดท้ายแล้วดอกปีบจะได้รับการให้อภัยในสิ่งที่ “สายเกินไป” และ ได้รับโอกาสครั้งที่ 2 ที่จะได้กลับไปเป็นเพื่อนสนิทกันเช่นเดิม

....และอีกอย่างที่เป็นบทเรียนที่สำคัญ ก็คือ คนที่ “สาย” คนนี้ก็เสียใจนะคะ 555 ( ตอนเล่าหัวเราะร่า แต่ตอนพิมพ์นี่น้ำตาไหลพราก)


...โหวว เห็นมั้ยล่ะค่ะ ว่าบทเรียนที่ 3 ของเหลี่ยมลุงหนวดนี่ช่างให้บทเรียนกับดอกปีบได้จริงๆ

ดอกปีบคงต้องหาทางให้เพื่อนสนิทของดอกปีบคนนี้ได้อ่านเหลี่ยมลุงหนวด บทเรียนที่ 3นี้ซะแล้วล่ะคะ 555

dokpeep กล่าวว่า...

...และนอกจากนี้สิ่งที่ทำให้ได้คิดต่อจากบทเรียนที่ 3 ก็คือ

คำว่า “สาย” อาจดูธรรมดาในแง่ของเหตุการณ์หรือพฤติกรรม ถ้าเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับการมาสายนั้น

แต่ในแง่ของความรุ้สึก การใช้คำว่า “สาย” อาจให้ผลที่เป็นบวกหรือลบมากๆ ต่อความรู้สึกของแต่ละคน

เพราะคำว่า “สาย” ดอกปีบว่ามันละเอียดอ่อนต่อความรุ้สึก!


เพราะมันทำให้ดอกปีบได้คิดว่า ก่อนที่คุณจะเอ่ยคำว่า “สาย”กับใคร

เราควรจะทบทวนให้ดีในหัวใจ อย่าให้เอ่ยไปแล้ว ..สุดท้ายก็ได้มารับรู้ในภายหลังว่ากลับกลายเป็นเราเองที่ “สายเกินไป”


..... เพราะ ต้นทุนเวลาของคนเรามีค่าไม่เท่ากัน ...

แต่คนเราส่วนมาก มักคิดว่าต้นทุนเวลาของตัวเรามีค่าสูงเสมอ

แต่บางครั้งดอกปีบว่าก็ต้องมองให้ละเอียด บางคนคิดว่าการมีต้นทุนที่สูงกว่าทำให้เวลามีค่ามากกว่า

แต่ถ้ามองมุมกลับกันเราเคยคิดบ้างมั้ยว่า ยิ่งใครที่มีต้นทุนเวลาที่เหลือน้อยเท่าไหร่อาจทำให้เวลาที่เหลือมีค่ามากกว่าก็เป็นได้


ดังนั้น..เวลาที่คุณไม่มีวันรู้เลยว่ามันเหลืออยู่น้อยแค่ไหน

บางทีก็มีคุณค่ามากกว่าที่จะมอบคำว่า"สายเกินไปที่จะรอ"ให้กับ"เวลา"เหล่านั้น



....อ่านบทเรียนที่ 3จบแล้วก็คิดว่า คำว่า สาย และ การรอคอย เป็นเรื่องของความรุ้สึกที่ละเอียดอ่อนการที่จะตัดสินหรือพิพากษา



ดอกปีบว่าเสน่ห์ของบทเรียนที่ 3อยู่ที่ตรงนี้

อยู่ตรงที่คุณทำให้รู้สึกว่า ในความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนและเรียบง่ายนั้น > ... “.แม้ว่าดูเหมือนยากที่จะเข้าใจ ...แต่ก็ง่ายที่จะเข้าถึง”



ขอบคุณ คุณcoHd มากๆนะคะ สำหรับบทเรียนที่ 3 นี้

...อย่างที่บอกแหละค่ะว่า

ดอกปีบเชื่อว่า ความตั้งใจเขียนของคุณ กับ ความตั้งใจอ่านของดอกปีบ สูสีไม่แพ้กันแน่นอน 555



อาจด้วยความบังเอิญก็ได้มั้งค่ะที่ดอกปีบก็โดนคำว่า “สาย” เล่นงานตัวดอกปีบเองในขณะนี้ด้วย

จึงทำให้จนถึงตอนท้ายสุดดอกปีบก็คงจะรู้สึกชอบบทเรียนที่ 3 นี้มากที่สุดอีกแล้วล่ะค่ะตอนนี้



เพราะฉะนั้น ในฐานะบอกอเหลี่ยมลุงหนวด
ขอมอบหมายให้เหลี่ยมลุงหนวด มีหน้าที่ทำต้นฉบับที่จะทำให้ผู้อ่าน ชอบมากขึ้นเรื่อยๆไปทุกครั้งที่แล้วกันนะคะ 555



ส่วนเรื่องเวลาไม่ต้องกังวลใจค่ะ

...เพราะอย่างที่เราทุกคนคงจะเข้าใจแล้วว่าเหลี่ยมลุงหนวดน่ะ เป็นนิตยสารภาพรายปักใจอ่าน นี่นะ 555

เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละค่ะ

ปักใจรออ่านกันต่อไปแล้วกันนะคะ




........ดอกปีบ........

เพลงหนวดขมวดรัก

เพลงรักเพลงหนึ่ง by coHd cover ใหญ่ โมโนโทน

เพลงหนวดขมวดรัก

"ไม่มีเหตุผล" by coHd cover : บอย ตรัย

เพลงหนวดขมวดรัก

"ความรักในทัศนคติ" เนื้อร้อง,ทำนอง : by coHd cover ลุงหนวด เย้ยย(สรุป:แต่งเอง)