เพลงประกอบ

"อาจยังไม่สาย" คลิ๊กฟังระหว่างเสพนิยาย by coHd

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

chapter#3 ::บทเรียนที่สาม"สาย"





พนักงานใหม่คนนึงที่บริษัทมาสาย
 เขาคงยังไม่รู้ว่าบริษัทนี้ทำงานแบบมืออาชีพ
ถึงแม้ว่าการมาสายของเขา จะไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายอะไร
แต่ลึกๆแล้ว มันก็แสดงถึงความรับผิดชอบที่เคร่งคัดของบริษัทนี้
คำแก้ตัวของเขามีความหมายเท่ากับการไม่ต้องพูดอะไร




การมาสายมันยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยหรือ ?
ทั้งที่คิดคำถามขึ้นมาลอยๆ ผมกลับตอบตัวเองว่า
ใช่สิ มันยิ่งใหญ่

เวลาหนึ่งนาที มีความหมายมาก
 ถ้าคุณพลาดเวลาตอกบัตรตอน 8 โมงเช้า

เวลาหนึ่งนาที มีความหมายมาก
ถ้าคุณพลาดส่งกระดาษคำตอบหลังหมดเวลาสอบ

เวลาหนึ่งนาที มีความหมายมาก
ถ้าคุณพลาดการขึ้นรถไฟฟ้าขบวนสุดท้ายของรอบวัน

เวลาหนึ่งนาที มีความหมายมาก
ถ้าคุณพลาดการบอกลาครั้งสุดท้ายแก่คนรัก

เวลาหนึ่งนาที มีความหมายมาก
ถ้าหากคุณได้ปล่อยให้ใครสักคน เข้าใจคุณผิด
โดยที่คุณไม่มีโอกาสได้อธิบาย

เวลาหนึ่งนาที มีความหมายมากจริงๆ
ถ้าผมรู้ ว่าผมจะต้องเริ่มนับเวลาที่แสนนานครั้งใหม่
 เพื่อแก้ไขเวลาหนึ่งนาทีนั้นอีกครั้ง
ผมทำได้แต่คิดการแก้ตัวครั้งต่อไปว่า
ผมจะต้องตรงเวลาให้มากกว่านี้!”




กลุ่มความคิดก้อนใหญ่
ทำให้ผมต้องจับหนวดเพื่อครุ่นคิดถึงอดีตที่เคยรู้สึกเสียใจ
 ถึงการมาสายครั้งยิ่งใหญ่

เพราะหนึ่งนาทีที่ยิ่งใหญ่ของผม..ผมมาสาย
ในวันนั้น
ผมไปไม่ทันส่งแฟนเก่าที่จะไม่มีวันเจอกันอีก
หนึ่งนาทีนั้นหายไปจากผมชั่วนิรันดิ์




เหมือนวัยเกษียณของผม จะมีชีวิตอยู่ในโลกสมัยใหม่ได้เพียง
แค่ดูทีวี,อ่านหนังสือพิมพ์,และฟังวิทยุเท่านั้น
แผ่นเสียง,เทปเพลงลูกกรุงที่เก็บไว้
กลายเป็นของสะสม ที่ผมถนอมมันยิ่งกว่าเส้นผมที่เหลือน้อยเสียอีก






ใครจะเข้าใจความรู้สึกชราภาพ
ที่วนเวียนคิดแต่เรื่องในอดีต
ด้วยความเดียวดายนั้น มันช่างรู้สึกอ้างว้างเสียจริงๆ
ผมเบื่อในการรำลึกถึงมันจากการฟังเพลง,และเปิดดูรูปเก่าๆ
แต่ก็ยังน้อยกว่าสิ่งที่ผมสนใจในหน้าหนังสือพิมพ์ยุคนี้




การเมืองคือสิ่งที่น่าเบื่อ มันมีวงจรซ้ำซาก
ผมเจอคนบอกว่าเบื่อการเมืองเยอะกว่าบอกว่ามันน่าสนใจ
แต่เมื่อได้คุยกับเขาแท้จริง ผมเข้าใจว่า
เขาไม่ได้เบื่อการเมืองจากความเข้าใจมันอย่างถ่องแท้
แต่กลับเป็นว่าเขาเบื่อการเมืองเพราะเขาไม่เคยจะอยากเข้าใจมัน
พวกเขาทำตัวเป็นคนตามน้ำคนหมู่มาก
และสร้างภาพว่าเขาคือหนึ่งในความถูกต้อง ที่ไม่อยากเห็นการเมืองแย่ๆ
โดยที่ไม่เคยรับรู้ ทำความเข้าใจ หรือทำอะไรเพื่อแสดงออกถึงการมีส่วนร่วม
ในการช่วยให้การเมืองเป็นไปอย่างสุจริต โปร่งใส
เพื่อพัฒนาบ้านเมืองอย่างแท้จริง

มันน่าแปลกที่ว่า ทั้งที่พวกเขาอยากให้มันดีขึ้น
แต่พวกเขาเองกลับไม่ทำอะไร?
 หรือแม้กระทั่งจะทำความเข้าใจมันอย่างแท้จริง




แม้การเมืองจะดูน้ำเน่าได้สมจริงกว่าละครทีวีที่อีแก่ดู
แต่ผมก็ปล่อยปละละเลยมันไม่ได้

ความเครียดคือยาพิษชนิดหนึ่งที่ทำให้ผมต้องเลิกมองในแง่ร้าย
หรือมองมันในแง่ดีจนมากเกินไป ที่จริงควรมองมันในมุมข้อเท็จจริง
เป็นเหตุ และเป็นผลมากกว่า นั่นคือการหาความรู้
ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อฉลาดพอจะวิเคราะห์
ไม่ใช่เพียงแต่เอาอารมณ์ส่วนตัวคอยตัดสินการเคลื่อนไหวทางการเมือง

แม้บ้านเมืองจะได้รับผลของการเมืองที่เลวร้าย ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่ก็ไม่เคยหายไปจากการสนทนายามว่าง เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็น
ประเด็นการเมืองถูกถกในร้านกาแฟของอาแปะจนไม่เหลือเรื่องคุย
เราเห็นต่างกันเกินไป จนเหมือนไม่มีวันจะปรับความเข้าใจกันได้

สิ่งที่ผมสังเกตได้คือ 
มันอาจสายเกินไปแล้วสำหรับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นใหม่
เพราะพวกเขาไม่ได้สนใจมันมาแต่ต้น จนเอาความรู้สึกตรงข้าม
ตัดสินข้อเท็จจริงหลายๆอย่าง
ไม่มีใครกลับไปที่ความเข้าใจเริ่มต้นจริงๆของปัญหา
น่าเสียดายที่การถกเถียงกันของเรากลายเป็นเรื่องไร้สาระ
จากข้อเท็จจริงคนละอย่าง
ที่ร้ายกาจคือ คนที่หลงผิด ได้ทำร้ายบ้านเมือง
จากข้อเท็จจริงที่เขาสร้างขึ้นมาเอง



มันลุกลามมากขึ้น และบานปลายจนฝังลึก
ยิ่งกว่านั้นปัญหายังกระจายออกไปในวงกว้าง
จนสายเกินกว่าจะสร้างความเข้าใจใหม่
ผลงานของเขาคือการสร้างความแตกแยกที่เกินกว่าจะให้อภัย

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอาจสายเกินกว่าจะแก้ไข
มันอาจค่อยๆกลับมาเหมือนเดิมอย่างช้าๆ
หรืออาจไม่มีวันกลับมาเลยก็ได้



การเมืองไม่ใช่เลวร้าย แต่นักการเมืองต่างหากที่ทำให้มันเลวร้าย
เรารักกันโดยไม่มีความบกพร่อง นักการเมืองจึงสร้างความบกพร่อง
การเมืองไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่นิสัยแย่ๆของนักการเมืองนั่นล่ะ
ที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันไกลแสนไกล จนยากที่จะสนใจ
ผมอดใจวางเฉยไม่ได้ เพราะนี่คือประเทศของเราทุกคน
บ้านเมืองของเราทุกคน ..
ไม่สายหรอกหากจะมีส่วนร่วมเพื่อให้การเมืองดีขึ้น
แม้ความแตกแยกจะสาย จนเกินกว่าจะแก้ไขก็ตาม

ผมเดินไปนั่งที่สวนหน้าบ้าน จมูกของผมสัมผัสได้ถึง
กลิ่นไอร้อนของทีวีข้างในบ้าน
 คละคลุ้งผสมกับกลิ่นคาวการเมืองบนหน้าหนังสือพิมพ์


ผมตะโกนเรียกอีแก่
ให้เบาเสียงทีวี แล้วนั่งอ่านหนังสือพิมพ์คอลั่มต่อไป
อีแก่หัวเราะและบอกผมว่า
“ ตาขวดเอ๊ย..เอ็งยังไม่เลิกอ่านข่าวการเมืองน้ำเน่านั่นอีกเรอะ!
ผมยิ้มแล้วบอกว่า “ ทีวีของเอ็งกับหนังสือพิมพ์ของข้า ก็ไม่มีอะไรต่างกันหรอก!




ฉันเกลียดแสงแดดมันทำให้รู้กังวลกับความแก่
ฉันจำได้จากรายการทีวี ที่บอกเคล็ดลับเหมือนกันทั้งวงการว่า
หากอยากแก่ช้า,สุขภาพผิวดี ต้องหลีกเลี่ยงการเจอแสงแดด
หลังจากจบคำแนะนำนั้น พิธีกรรายการมักจะถามเกริ่น
เพื่อให้ดาราโปรโมตผลิตภัณฑ์เสริมความงามของตัวเอง
ฉันไม่เคยจำมันได้สักยี่ห้อ
เหมือนที่จำสายรถเมล์ที่ผ่านหน้าบ้านฉันไม่ได้
กว่าจะถึงถนนหน้าหมู่บ้านฉันไกลจริงๆ
  รู้อย่างงี้ใส่ส้นเตี้ยมาสะก็ดี! ”





ฉันลืมไปแล้วว่า
การใส่เสื้อแขนยาวเป็นยังไง
นี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันต้องหลบแดดเป็นพิเศษ

คงเพราะฉันหุ่นดี ไม่ก็ความั่นใจในรูปร่าง
ที่ทำให้ฉันชอบใส่ชุดยั่วยวนสายตาของเพศตรงข้าม
ฉันมักรู้ตัวเองว่าแต่งตัวโป๊ เมื่อต้องไปในสถานที่ราชการเท่านั้น
มันเป็นความเคยชินของฉันไปตั้งแต่เมื่อไหร่
นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันต้องเสียเงินเยอะในการเดินทางแน่ๆ
ทันทีที่หยุดคิด
แท็กซี่คันหนึ่งก็ตรงเข้ามาหาฉันทั้งที่ยังไม่ได้ยกมือเรียก


เมื่อไหร่จะถึงสักทีนะ ฉันมองผ่านกระจกรถแท็กซี่
พลางคิดในใจว่าถ้าฉันไม่ติดที่ต้องขอเงินแม่
เพื่อซื้อเครื่องสำอางเกาหลีชุดใหม่
ฉันคงไม่มีวันอาสาส่งของให้เพื่อนแม่
เพื่อเจอแดดจ้าๆแบบนี้หรอก

ทุกๆครั้งที่ฉันอยู่บนรถแท็กซี่
ทั้งที่คิดอะไรในใจมากมาย

ฉันกลับรู้สึกถึง
สายตาคนขับที่จ้องมองฉัน
มันคือความรู้สึกสะอิดสะเอียน
จากเงาสะท้อนของกระจกส่องหลัง

ฉันละสายตาเขา และ
จ้องมองดูราคาโดยสารบนมิเตอร์
 สมัยนี้เลขดีดขึ้นทีละ2ตั้งแต่เมื่อไหร่?
ฉันเคยถามเรื่องนี้กับคนขับแท๊กซี่
เขาบอกฉันว่า เขาไม่ได้โกง
 ทั้งที่ขัดกับความรู้สึกของฉัน



การขึ้นรถเมล์ทำลายความมั่นใจของฉัน
นอกจากจะไม่สามารถเดาเวลาที่ไปถึงได้
มันทำให้ฉันถูกจ้องมองจากสายตาที่ลวนลาม
และหยาบคายของผู้ชายพวกนั้น
บางคนแกล้งไม่ใส่ใจ แต่ฉันรู้ว่าเขาสนใจฉัน
จากตำเหน่งสายตาที่เขาแสร้งทำเป็นมองมาเป็นระยะ
บางทีฉันก็อยากสลัดความสวยขึ้นรถเมล์
เพื่อให้เป็นคนปกติคนนึง

การทำให้ตัวเองเป็นผู้หญิงสวย
คือชีวิตที่ลำบากกว่าปกติจริงๆ
สิ่งนี้ทำให้ฉันต้องทนทุกข์ แต่ฉันยอมรับมันได้
 นั่นคือการต้องวางแผนก่อนออกนอกบ้าน
เพื่อแต่งหน้าก่อนอย่างน้อย 20 นาที
ถ้าเป็นวันที่ผมฉันเริ่มเหม็น มันจะนานกว่านั้นเป็นชั่วโมง
ยิ่งถ้าวันไหนฉันไม่ได้เตรียมชุดไว้ก่อนด้วยแล้ว
ยิ่งไปกันใหญ่




นอกจากจะเสียเวลา
ผ้าในตู้ของฉันมักจะสูญเสียความเป็นระเบียบ
จากการรื้อแล้วรื้ออีก ลองใส่แล้ว ลองใส่อีก
เวลาที่ใช้ไปนานเท่าที่ฉันจะรู้สึกปลง ดั่งเช่นวันนี้

ไหนจะความลำบากในการห่วงสวยในที่ต่างๆ
ห้องน้ำจึงเป็นสถานที่ๆฉันต้องการที่สุดเสมอ
มันคือที่เติมแป้งเพื่อเพิ่มความมั่นใจ
 เครื่องสำอางค์ที่พกออกไปข้างนอกจึงมักเป็นรุ่นที่ดีที่สุด
เพราะฉันจะได้แต่งหน้านานๆต่อหน้ากระจกสาธารณะ
ภายในห้องน้ำได้อย่างไม่เขิน



ค่าแท็กซี190บาท ฉันแต่งตัวมาดูดีแบบนี้
ควรเก็บเงินทอนดีไหมนะ ..เขาจะมองว่าฉันขี้งกรึเปล่านะ

ฉันจ่ายไป 200 บาท และบอกว่าที่เหลือฉันให้
แท็กซี่เชิญชวนฉันดู ตำเหน่งทศนิยมหลังราคาเต็ม
และบอกกับฉันด้วยภาษาไทยสำเนียงหนึ่งว่า
“ โอย บ่อได้ทอนด่อกคับ พอดี้กั่บค่ารถติดเล่ยแล่ว ”
ฉันไม่สนใจมันเท่าไหร่..เพราะหน้าเริ่มฉันมันแล้ว
ห้องน้ำอยู่ไหนกันนะ?

ฉันมาถึงที่นัดพบ ณ ร้านกาแฟในห้างใหญ่ใจกลางเมือง
และสายกว่าเวลานัดไป 20 นาที
แต่ในร้านกาแฟนั้น กลับไม่มีวี่แววของเพื่อนแม่
……




ผมเพิ่งเล่นโปรแกรม skype เป็น
มันเป็นโปรแกรมหนึ่งที่ใช้พูดคุยในอินเตอร์เนต
หนึ่งในความสามารถของมันคือการคุยกันเหมือนโทรศัพท์
เพื่อนของผมเคยชวนผมเล่นมาหลายครั้ง แต่ผมตอบปฎิเสธทุกครั้ง
เพราะรู้สึกว่าไม่เห็นมีความจำเป็นจะต้องคุยกับคนแปลกหน้า
แต่หลังจากการอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด
ทั้งที่เพื่อนๆในวัยเดียวกันมีแฟนกันไปเกือบหมดแล้ว
ผมมักคิดในใจว่า หรือผมจะเชยเกินไป



เพราะผมก็มีเพียงหนังสือกองพะเนินเทินทึกเป็นเพื่อนสนิท
เพื่อนที่วัยเดียวกับผม ไม่มีใครชอบอ่านหนังสือ
ผู้ชายสนใจการเล่นเกมส์ออนไลน์ในเวลาว่าง
เพื่อนผู้หญิงสนใจแต่เรื่องการแชตในโทรศัพท์
แฟชั่น รวมทั้งดาราเกาหลี แล้วจะมีใครที่จะเข้าใจผม
 มันน่าเสียดายจริงๆ ที่เพื่อนสนิทหลายๆเล่มของผม
คุยกับผมไม่ได้

นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ผมต้องการเข้าสังคม ไม่ว่าจะชอบหรือไม่
ผมแปลกใจในความสันโดษที่โหยหาสังคมของผมว่า
ผมเป็นอะไรของผมนักหนา

วิทยาศาสตร์บอกว่ามันเป็นฮอร์โมนเพศของช่วงวัยหนุ่ม
หลังจากผ่านความสับสนในการเจริญเติบโตมาแล้ว
มันผลิตแรงผลักดันทางเพศสูงสุดในวัยประมาณ 18 ปี

เหมือนในหนังสือของ รุซโซ เรื่องวุฒิภาวะ “Muturity
ที่พูดเกี่ยวกับกฎ Seven year cycles of life ไว้ว่า
ทุกๆ7ปี ความคิด,จิตใจของเราจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกัน
ผมอยู่ในวัฎจักร7ปี ครั้งที่2 ไปสู่ครั้งที่ 3
ซึ่งสนใจในเรื่องเพศตรงข้ามเป็นพิเศษโดยที่ห้ามคิดไม่ได้
อายุช่วงนี้จึงมีเจ้าชายในฝัน,เจ้าหญิงในฝันดูดีเกินจริงเป็นพิเศษ
ผู้หญิงหลายคนมีดาราที่เธอคลั่งไคล้
ผู้ชายหลายคนมีดาราAVที่เขาชื่นชอบ
จากการสังเกตสังคมรอบๆตัวของผม
รุซโซ ไม่ได้กล่าวไว้ผิดเสียทีเดียวนัก

ต่อให้ผมควบคุมเก่งแค่ไหนก็ยังไม่เคยควบคุม
ความแรงผลักดันทางเพศของตัวเองได้

ผมเจอผู้หญิงคนนึงในโปรแกรม skype จากคำแนะนำของเพื่อน
ผมทดลองคุยกับเธอดู และรู้สึกถูกใจเธอมาก
เธอขี้เล่น อารมณ์ดี แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าชอบผมเป็นพิเศษ




หรืออาจเป็นเพราะเคมีในร่างกายของเรายังไม่ตรงกัน
เหมือนที่สำนวนภาษาฝรั่งว่าไว้ว่าหากเราชอบกัน
อาจเป็นเพราะเคมีร่างกายของเราตรงกัน
 ( Physical chemistry )


ตลอดการสนทนาผมเรียกผู้หญิงคนนี้ว่า “คุณ”
เขาตลกในการเรียกสรรพนามนั้น
และบอกผมว่ามันเป็นทางการเกินไป
เธอเรียกผมว่า “เธอ”

ผมรวบรวมความกล้าของผมทั้งหมด
นัดเจอเธอที่ร้านอาหารผ่านโปรแกรมสนทนานั้นในวันพรุ่งนี้
โดยบอกสถานที่นัดเจอกัน ที่ห้างใหญ่ที่อยู่ใจกลางตัวเมืองแห่งหนึ่ง

เธอบอกชื่อผมก่อนปิดโปรแกรมว่าเธอชื่อ “ แจน ”
ขณะเดียวกันเธอก็ถามชื่อผมกลับ
ผมหยุดนิ่งไปพักใหญ่ เพราะชื่อจ่อย ของผมไม่เท่ห์เอาเสียเลย
ผมกลัวว่าเธอจะหัวเราะกับชื่อไทยๆ ที่บ้านผมตั้งให้คล้องกับตระกูล จ.จาน
ก่อนจะกลั้นใจบอกเธอไปว่า ผมชื่อ “ แจ๊กกี้ ”
เสียงสุดท้ายของเธอตอบกลับมาว่า “เฮ้ยย จ.จานเหมือนกันเลย”
ผมได้แต่ยิ้มตามลำพัง พร้อมกับคิดว่า 
“ เอาน่า การโกหกครั้งนี้ไม่ได้เลวร้ายนักหรอก ”




ผมหลับตาในคืนนี้อย่างช้าๆ เสียงของเธอติดหูผม
มันไพเราะกว่าดนตรีคลาสสิก
ที่ผมชอบเปิดกล่อมตัวเองก่อนนอนเสียอีก

ใจผมเต้นยิ่งกว่าร่างกายได้รับสารคาแฟอีนจากกาแฟ
ผมได้แต่คิดว่าเสียงหัวใจนั่นคือเสียงแกะ
 กระโดดข้ามรั้วกล่อมผมทีละตัว
สลับกับเสียงนับของเธอ
ทฤษฎีสัมพันธภาพของไอสไตน์ทำให้ค่ำคืนนี้ยาวนาน




ผมเพิ่งกลับมาจากการไปพักผ่อนที่ “โดวิลส์” (Deauville) ประเทศฝรั่งเศส
ผมรู้สึกดีอย่างนึงที่เมือง “โดวิลส์” มี ขี้หมาน้อยกว่าปารีส
เพราะผมชอบเพียงเปลือกของปารีส แต่ไม่เคยรู้สึกดีกับผู้คนที่นั่น
เช่นเดียวกับ ผู้คนในเมืองติดชายหาดอย่าง“โดวิลส์”
ย่านนั้นมีแต่พวกผู้ดีเก่าที่ชอบทำท่าเย่อหยิ่งจองหอง
คนพวกนั้นแม้จะระวังเรื่องมารยาทอย่างซับซ้อน
แต่สายตาที่เขามองผม
มักทำให้ผมรู้สึกเหมือนว่ามันช่างตรงข้ามกับมารยาทนั้นเสียจริง




คงเพราะภาพพจน์คนเอเชียโดยสมบูรณ์แบบของผม
เป็นสิ่งแปลกตาในบรรดาชนชั้นสูงของฝรั่งเศส
ทั้งที่ครอบครัวของผมใช้โอกาสพักร้อนนี้ ฃ
เพื่อมาเชื่อมสัมพันธ์ทางธุรกิจ แต่กลับถูกสายตานี้จับจ้อง

ผมไม่ชินกับคนประเทศนี้ ที่มักทำหน้านิ่งเหมือนว่า
ไม่อยากจะสนทนากับชาวต่างชาติ

แต่ก็ไม่หมดสะทีเดียวที่ผมจะเจอคนอัธยาศัยดีที่นั่น
ชาวฝรั่งเศสคนนึงเดินจ้องผมตาเขม็งก่อนเดินเข้ามาทักทาย



ก่อนการสนทนาของเราเริ่มขึ้น
ชายฝรั่งเศสคนนั้นทักผมด้วยภาษาจีน อย่างเป็นมิตร
ผมจึงพูดภาษาไทยตอบกลับ ก่อนจะมองหน้ากันเงียบๆ
หลังจากที่ผมพูดว่าไม่เป็นไรในภาษาฝรั่งเศส (De rien)
เราจึงเริ่มสนทนาด้วยภาษาฝรั่งเศสอย่างออกรสในภายหลัง
ในใจลึกๆของผม ไม่ถือสาความเข้าใจผิดในเชื้อชาติ
เพราะผมเองก็ไม่ชำนาญพอที่จะแบ่งสปีชีส์
ของฝรั่งหัวแดงเหมือนกัน
แต่ผมยังคงเกลียดสายตานั้นของคนฝรั่งเศสจำพวกนั้นอยู่ดี


หลังจากกลับไทยได้สองวัน
ผมอยากฝังตัวอยู่ที่นี่ให้นานที่สุดเท่าจะนานได้
ถ้าไม่เป็นเพราะการเมืองที่วุ่นวาย และน่าเบื่อ
จนลุกลามจนทำให้กรุงเทพ และอีกหลายจังหวัดลุกเป็นไฟ
 ครอบครัวของผมคงไม่นึกจะไปเที่ยวที่ฝรั่งเศสแน่ๆ

เย็นวันนี้ผมต้องออกกำลังกายให้หนัก
หลังจากการพักผ่อนที่ริมชายหาดที่ โดวิลส์
ทำให้ผมขาดความมั่นใจในรูปร่างตัวเองไปมาก
จากการกินอาหารหลายมื้อตามวัฒนธรรมของเขา




ผมรู้สึกไม่ดีตั้งแต่ สตาร์ทเตอร์ เมนคอร์ส และยิ่งรู้สึกแย่มากขึ้น
ตอนที่ต้องปิดท้ายด้วยของหวาน แม้มันจะไม่ได้หวานจนเลี่ยนก็ตาม
ผมชินกับพิธีรีตองของอาหารฝรั่งเศส แต่ไม่ชินกับมื้ออาหารที่เถียงแถว
เข้ามาไม่หยุดของเขา

ผมเลือกเดินทางมาออกกำลังกายที่ฟิตเนสส่วนตัว
รับเฉพาะสมาชิกระดับ VIP และชาวต่างชาติผู้มีอันจะกิน
ตารางเล่นฟิตเนสวันนี้ คือกล้ามเนื้อชิ้นอก และแขนหลัง
ตามด้วยการเดินเร็วอีก 20 นาที จากนั้นจึงรผ่อนคลายด้วยสปา
ไม่ทันที่ผมจะเริ่มบริหารกล้ามอกในท่าที่4 ครบเซ็ต

ฝรั่งคุ้นหน้าคนนึงเดินแล้วมาทักผมด้วยภาษาไทยว่า“ สวัสดี”
ผมจำสำเนียงเน้นตัว R ในลำคอนั้นได้ดี
เขาคือชายฝรั่งเศสคนเดียวกันกับที่ผมเจอใน โดวิลส์  



ผมทักทายเขากลับเป็นภาษาฝรั่งเศส
คำถามถัดมาของเขาน่าแปลกแปลเป็นไทยได้ว่า “กินอะไรแล้วรึยัง”
เราออกกำลังกายด้วยกัน ก่อนจะสนทนากันด้วยความสนิทใจขึ้น

หลังจากเจอกันที่ฝรั่งเศสเขาลองมาเที่ยวประเทศไทย
ตามคำแนะนำของผม โดยเริ่มจากกรุงเทพเป็นที่แรก
เขาสนิทกับผมเร็วเกินกว่าที่ผมจะรู้สึกว่าสนิทกับเขา
หลังจากแลกเปลี่ยนความคิดกัน ผมเข้าใจเพิ่มเติมว่า

ที่ผมรู้สึกไม่ดีต่อคนฝรั่งเศส เพราะผมไม่เคยเข้าใจเขา
แท้ที่จริงแล้วเป็นเพราะ คนฝรั่งเศสมักหลงใหลในภาษาตนเอง
และมักพูดภาษาอื่นไม่ได้ จากการยึดติดความเป็นชาตินิยม
ยึดติดความไพเราะของภาษา และบทกวีที่ดาษดื่น
จึงทำให้เขาอึดอัดเวลาเจอชาวต่างชาติ และต้องพูดภาษาอังกฤษ
แม้ว่าตอนนี้จะเริ่มเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม


ผมยังได้เรียนรู้เรื่องอื่นๆที่ทำให้ผมต้องมองคนฝรั่งเศสในมุมใหม่
และเลิกรำคาญจำนวนขี้หมาในเมืองปารีส
จากนิสัยรักหมาผิดปกติของชนชาตินี้

เพื่อนใหม่ชาวฝรั่งเศสของผมคนนี้
อ่อนโยนและห่วงใยความรู้สึกกับคนที่เขารู้จัก
มากกว่าเพื่อนของผมในประเทศอื่นๆเสียอีก
ซึ่งนี่ก็เป็นนิสัยนึงของคนฝรั่งเศสเมื่อได้รู้จักกันแล้ว

ก่อนแยกย้ายกันกลับที่พัก
ผมบอกความในใจ และขอโทษเขา
“ ผมรู้ว่ามันเป็นความเข้าใจที่สายไป แต่ก็ยังดีกว่าไม่เข้าใจเลย ”

หากผมไม่รีบตัดสินคนตั้งแต่เริ่มทั้งที่ยังไม่เข้าใจ
ผมคงได้รู้จักเพื่อนฝรั่งเศสมากกว่าชายคนนี้แน่ๆ
คงเหมือนกับความแตกแยกในประเทศไทย
ที่หลายๆครั้งเรามักตัดสินคนอื่น จากความเห็นส่วนตัวเพียงลำพัง

“ ผมจะไปเหยียบปารีส ด้วยมุมมมองใหม่อีกครั้ง
โดยไม่อ้างว่าไปเพื่อหนีปัญหาไปพักผ่อน ”





ผมทำเสียงในลำคอให้ชัดเจนขึ้น ก่อนบอกลาเพื่อนชาวฝรั่งเศส
Au revoir ” ( โอฟัวย์ )
ในใจผมกลับอุทานอีกคำนึงว่า “ Formidable!
มันช่างวิเศษจริงๆ
 เมื่อผมได้มองสิ่งที่เกลียด ในมุมมองใหม่
ผ่านหัวใจ มากกว่าแว่นกันแดดของผม 




ผ่านไปเกือบ45นาที ที่ฉันนั่งรอเพื่อฝากของให้เพื่อนแม่ ที่ร้านกาแฟนี้
สักพักนึงมีชาย ใส่เสื้อยืดเก่าๆสีขาว 
กางเกงฟุตบอลขาสั้น รองเท้าแตะเข้ามาทักฉันว่า
ใช่ สาวรึเปล่า?



ทันทีที่ฉันพยักหน้ารับ เขาแสดงตัวกับฉันว่าเป็นคนที่ฉันรออยู่
ฉันมองเขาหัวจรดเท้า และคิดในใจว่า
ที่ฉันต้องตื่นเช้า เพื่อเสียเวลาแต่งตัวให้ดูดี
เพื่อมาพบกับเพื่อนแม่ของฉัน ในสารรูปที่ไม่ได้ให้เกียรติสถานที่
 แถมยังมาสายกว่าฉันตั้ง 45 ที
ฉันเลิกคิดถึงเงินค่าเครื่องสำอางที่จะขอแม่
เพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับภารกิจนี้

ปากที่มักใช้ด่าคนจำพวกนี้
กลับเงียบสนิทเพราะหมดคำที่จะพูดที่จะเอ่ย ทั้งๆที่ฉัน
ใช้มันด่าคนเก่งเสียยิ่งกว่า การจูบที่ช่ำชองเสียอีก



ฉันยื่นของฝากให้ลุงคนนั้น
แล้วเดินหนีออกมาโดยไม่พูดกับเขาสักคำ

ปากของหัวใจพูดในความคิดว่า
ผู้หญิงมาสาย กับผู้ชายมาสายไม่มีวันที่จะเหมือนกัน!!





ในที่สุดผมก็พบแจน แม้เธอจะดูทำท่าผิดหวังที่ผมเชย
และไม่ได้ดูดีเหมือนหนุ่มสไตล์เกาหลีที่เธอชอบ
แต่ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะเธอไม่ได้ถือสาอะไร

หูของผมยังชอบเสียงเธออยู่
 แม้หน้าตาของเธอจะดูดีกว่านั้นมาก
หรือผมทิ้งความสนิทใจไว้ตั้งแต่เริ่มคุยกันแล้วนะ?
ผมได้แต่ลุ้นในใจให้ เคมี ของเราตรงกัน

หลังจากนั้นเรากินอาหารกันอย่างอร่อย
 และคุยกันตามประสาเพื่อนที่ดี
จนผมเหลือบไปเห็นเพื่อนที่เคยเรียนห้องเดียวกัน
นั่งอยู่โต๊ะที่เยื้องออกไป   เขาเอ่ยปากทักผมว่า
 “ ว่าไงวะไอ้จ่อย..แม๋..มากับสาวเชียวนะมึง ร้ายจริงๆ”
หลังจากการทักทายเสร็จสิ้น แจนหันมามองหน้าผม
และพูดย้ำชื่อนั้น “ จ่อย? ”




แจนพูดต่อออกมาอีกคำในเวลาไล่เลี่ยกัน “ ไหนบอกว่าชื่อแจ๊กกี้ไง? ”
เธอทำหน้าบึ้งคิ้วขมวด และบอกกับผมว่า
“ ยินดีที่ได้รู้จักนะ จ่อย แจนต้องกลับแล้วล่ะ
เพื่อนแจนที่เพิ่งรู้จักกันเขาหายไปแล้ว ”




ผมไม่ทันได้แก้ตัว ตอนที่เธอจากไป
เพราะต่อให้เธอฟังคำแก้ตัวของผม ก็คงไม่ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นแน่ๆ
ผมนึกถึงสำนวนภาษาอังกฤษต่อจากเมื่อวานได้ว่า
“ Sometimes the chemistry just isn’t right ?
ไม่เป็นน่ะอาจเพราะเคมีของเราไม่ตรงกัน

หรือ

เพราะผมพูดความจริงช้าไป ?




พนักงานที่มาสายคนนั้น กลับไปทำงานตามเดิม
ผมเห็นแววตาที่ไร้ความสุขนั้น
จากการถูกตำหนิอย่างหนักของเจ้านาย

        เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
 และไม่พูดอะไรออกมาอีกเลยในวันนั้น


เขาทำให้ผมคิดถึงภาพตัวผมเองในวันนั้น
วันที่ผมไปไม่ทันส่งเธอ
และไม่ได้พูดความในใจอีกเลย จนถึงวันนี้

เวลาหนึ่งนาทีมีความหมายมากจริงๆ
หากเราได้ทำอะไรพลาดไป
จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา หนึ่งนาทีที่สายไปของผม
หยุดนิ่งอยู่อย่างนั้นตลอดกาลจนถึงวันนี้

ผมเปิดอีเมล์ของเธอขึ้นมา
 และพิมข้อความไม่ยาวนักเพื่อส่งถึงเธอ

“ ถึงวันนั้น วันที่ผมไปไม่ทันส่งคุณ
ความในใจผมในวันนั้นจนวันนี้ อยากบอกว่าคุณว่า
 ผมเสียใจกับทุกๆเรื่องทิ่เกิดขึ้นระหว่างเรา
ขอโทษจริงๆนะที่ไม่ทันได้บอก ผมรักคุณครับ ”


การมาสายมันยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยหรือ ?
ทั้งที่คิดคำถามขึ้นมาลอยๆ ผมกลับตอบตัวเองว่า
ใช่สิ มันยิ่งใหญ่! ”

..............










ปล. ขอขอบคุณการตรวจคำผิดจาก @MisTButterFly ครับ


เพลงหนวดขมวดรัก

เพลงรักเพลงหนึ่ง by coHd cover ใหญ่ โมโนโทน

เพลงหนวดขมวดรัก

"ไม่มีเหตุผล" by coHd cover : บอย ตรัย

เพลงหนวดขมวดรัก

"ความรักในทัศนคติ" เนื้อร้อง,ทำนอง : by coHd cover ลุงหนวด เย้ยย(สรุป:แต่งเอง)