เพลงประกอบ

"อาจยังไม่สาย" คลิ๊กฟังระหว่างเสพนิยาย by coHd

วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2553

chapter#2 ::บทเรียนที่สอง"ไม่มีเวลา"








ทุกเย็นบนเส้นทางกลับบ้าน ลุงหนวดอย่างผมชอบมองนาฬิกาอย่างลับๆ
 มันเวลาเดียวกันที่คนอื่นได้ร่วมใช้
อาจเป็นเวลาบนนาฬิกาบนข้อมือของคนที่ทำตัวยุ่งที่สุด
นาฬิกาบนข้อมือของคนที่ทำตัวว่างที่สุด
นาฬิกากระเป๋ารถเมล์ นาฬิกาที่แขวนไว้ในห้างสวยหรู
 หรือ นาฬิกาในร้านขายของชำเก่าๆ
ทำให้ผมรู้สึกว่า จริงๆแล้ววันๆหนึ่งของผมอาจไม่ต้องใส่นาฬิกาออกมาเลยก็ได้
ทุกที่ล้วนมีสิ่งบ่งบอกเวลา


แต่ต่อให้คิดแบบนั้น นาฬิกาที่ผมใส่ในบางวันกลับทำให้รู้สึกว่า
รวงรอบของเข็มนาฬิกาบนข้อมือ คือ เวลาของผม


หนึ่งในการมองแต่ละครั้ง เป็นเวลาเดียวกันที่ไม่เท่ากัน
ทุกครั้งทีที่ละสายตาจากภาพแรกไปภาพที่สองเวลาเดินไปเรื่อยๆ
มันจะเป็นภาพเวลาใหม่เสมอ
ภาพเวลาใหม่ๆในสิ่งเดิมๆ ภาพเวลาใหม่ๆที่ดีขึ้น ภาพเวลาใหม่ๆที่แย่ลง








การเดินทางของเวลาทำให้ประสบการณ์ของเราเพิ่มขึ้น
 และไม่เคยหยุดไว้แม้ในช่วงเวลาที่เราหยุดคิด
อะไรที่ทำให้อายุที่เท่ากัน แต่กลับมีความรู้สึกที่ไม่เท่ากัน
อะไรที่ทำให้การทำสิ่งที่เหมือนกัน ในเวลาเดียวกัน แตกต่าง
หรือเพราะ เรามีเวลาเหมือนกัน แต่เราใช้ไม่เท่ากัน

ผมเป็นคนนึงที่คิดว่า บ่อยครั้งที่ผมรู้สึกเหนื่อย และ ถูกขโมยเวลาไป
หลักฐานคือข้ออ้างง่ายๆ จากคำที่ผมพูดที่ว่า “ ผม..ไม่มีเวลา ”










ผมอยู่ที่ซูลิค จะไปลอนดอน ด้วยสายการบิน British Airways
แต่.. เครื่องบิน Delayed





  
เวลาชั่วโมงครึ่งของการดีเลย์
คือช่วงที่จินตนาการไม่ออกสุดๆสำหรับการเดินทางคนเดียวแบบนี้
ผมควรเปลี่ยนสายการบินในเวลาใกล้เคียงกัน หรือ รอต่อไปดี


แปลกที่การเสียเวลาของเครื่องถูกเรียกออกเป็น 2แบบ
ทั้งที่เสียเวลาเหมือนกัน ทั้ง Delayed และ Retimed
การรับผิดชอบของรูปแบบการรอคอยแตกต่างกันเล็กๆที่
Delayed ไม่สามารถคาดหมายได้






คนที่รอคอยการ Delayed หรือ Retimed ของเครื่องบินมักบ่นเป็นเสียงสั้นๆ
ใจความเหมือนกันว่า  "It so selfish!"
ไม่มีใครสักคนหรอก
ที่เลือกเดินทางโดยเครื่องบินแบบไม่รีบ ไม่มีธุระรออยู่
เพียงแต่มีความมากน้อยไม่เท่ากันเท่านั้น


กระเป๋าเดินทางของผมไม่มีอะไรที่จะฆ่าเวลาได้เลย
ผมเกลียดการเดินทาง
แต่ก็มักชอบที่จะใช้เวลาอยู่กับความเกลียด
เผื่อไว้ว่าสักวันอะไรๆคงจะดีขึ้น
รอบตัวของผม คือชาวต่างชาติที่หัวเสีย ผมชอบมองพวกเขา
เครื่องบิน delayed ทำให้ผมคุ้นหน้ากับเพื่อนร่วมเดินทางมากขึ้น
ผมไม่ค่อยมีเวลาแบบนี้มากนัก
 ความเร็วในการเดินทางทำให้เราสนใจแต่เวลาที่รวดเร็วในการไปถึงที่หมาย





หากเลือกได้ คงไม่มีใครอยากเดินทางด้วยระยะอ้อม 
หรือ ด้วยวิธีที่ช้ากว่า
เราลืมมองเพื่อนร่วมเดินทางในเวลาเดียวกันไปตั้งแต่เมื่อไหร่นะ


ความล่าช้าที่นักเดินทางเกลียดชัง คือจินตนาการสุดท้ายที่ควรเดินทางไปถึง
แต่หากมันเกิดขึ้นแล้ว คำว่าเสียเวลา คงใช้ไม่ได้กับเวลาที่เสียไปแล้วจริงๆ




พวกเขาคือกลุ่มคนนอนพื้น หนุนกระเป๋า 
ที่ใช้พาหนะที่ปลอดภัยที่สุด แพงที่สุดในการเดินทาง


ผมคงไม่ได้มีโอกาสเห็น คนนั่งรถเมล์ ขึ้นเรือ 
หรือ รถไฟ นอนพื้นเพื่อรอการออกตัวที่ล่าช้าได้เท่ากับเครื่องบิน


แปลกที่เกือบทุกคนรู้สึกเหนื่อยในการเดินทางเพื่อไปถึง
แต่ภาพที่เห็นกลับแตกต่างไปจากนั้น
ผม และ คนที่ร่วมทริป delayed ครั้งนี้ 
เหนื่อยตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเดินทาง






ผมรัก และ เกลียด การเสียเวลาแบบนี้
















คืนวันเสาร์คนที่ผับแน่นเอียด ชายที่ถูกใจคนนั้นมีเสน่ห์ที่สุด
 เขามองฉันอยู่ไกลไป3โต๊ะ
รูปร่างของเขาดูดี ช่วงไหล่กว้าง และ มีบุคลิกที่ดึงดูด






ทุกวันเสาร์ฉันมักใส่น้ำหอมกลิ่นแรง
ที่ดึงดูดผู้ชายอย่างเขา อย่าง Dior Addict  กลิ่น Queen of the Night
มันมีราคาแพงถึง  4000บาทต่อ100มิลลิลิตร
 แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะฉันได้มันมาจากการบรรณาการชายที่หลงใหล
เขาพร้อมจ่ายเสมอ เพื่อแลกกับการได้นอนกับฉัน


ระยะทางไกล 3โต๊ะ ไม่ได้ไกลเกินกว่าเขาจะเห็นฉัน
ค่ำคืนวันเสาร์คือการรวมตัวของชายหนุ่มดีๆ
เหมือนเขาพร้อมที่จะแต่งตัวออกมาผ่อนคลาย มากกว่าใส่ชุดทำงานปล่อยชายเสื้อออกมาเที่ยว





ผู้ชายหลายคนมักชอบคิดว่า เขาเป็นฝ่ายเลือกผู้หญิงที่หมายปองก่อน
มันน่าตลกสิ้นดี ที่ผู้หญิงอย่างเรากวาดสายตาไว้ตั้งแต่แรก
 ว่าใครน่าสนใจ
การใช้เวลาคิดตริตรองรูปร่างหน้าของพวกผู้ชายช่างอ่อนหัด




เวลาสั้นๆของการส่งสายตาสามารถบอกเรื่องราวหลังจากนี้ได้ยืดยาว
หากเขามองฉันนานเกินกว่า 5 วินาที ตามมารยาทแล้วฉันควรหลบตาก่อน
รอยยิ้มมุมปากของฉัน คงบ่งบอกการเชิญชวนที่ส่งถึงเขาได้ดี
ถึงอย่างนั้น ฉันไม่จำเป็นต้องเริ่มไปคุยกับเขาก่อน
แต่ฉันสามรถเลือกเวลารอคอยได้ หากได้ทำอะไรสักอย่างก่อนที่เขาจะรู้ตัว







ห้องน้ำอยู่ในทิศทางที่ฉันเดินผ่านเขาได้ ไม่มีเวลาแล้วล่ะ
ฉันต้องรีบทำความรู้จักเขา ก่อนจะเสียเวลาไปมากกว่านี้
 หากเขายังไม่ใช่ ก็แค่หาคนใหม่
“ ดูสิว่าฉันยังมีเรตติ้งที่น่าสนใจอยู่หรือเปล่า ไม่ก็..เขาเชี่ยวชาญแค่ไหนเมื่อถูกให้ท่า ”
ฉันเดินไปหาเขา เท้าขวาของฉันเตะเฉียงไปอยู่ข้างหน้าเท้าซ้าย
 สลับกันเป็นเส้นตรงสู่การเดินเฉียดเขา


 


วันนี้ผมนัดเจอลุงขวดที่ร้านอาแปะ
 เป็นธรรมเนียมของเราที่หากใครมาก่อนต้องสั่งเครื่องดื่มของอีกฝ่ายรอไว้





จังหวะที่เหมาะสมของการสั่ง
 ขึ้นอยู่กับความรู้จักระหว่างคนสองคน ว่าแต่ละคนมาสายประมาณกี่นาที
ผมยังไม่ได้สั่งโอเลี้ยงให้ลุงขวด เพราะรู้ว่านี่ยังไม่ถึงเวลา

ทุกบ่ายวันอาทิตย์เป็นเวลาที่น่าเบื่อมาก
 กิจกรรมพบเจอพูดคุยกับเพื่อนสนิท หรือ คนรู้จักน่าจะเป็นงานอดิเรกที่ดี
เพราะวันอาทิตย์ของแต่ละคนมักจะอยู่กับบ้าน หรือไม่ก็ อยู่ที่ไม่ไกลจากที่ทำงานนัก


ลุงขวดชอบนัดผมบริหารสมองด้วยการเล่นหมากรุก
 กระดาษไม้เก่าๆกับหมากที่ใช้เดินดูมีมนต์ขลัง
อาแปะซื้อตัวหมากรุกมาตั้งแต่ ราคาไม่ถึง30บาท
 ทุกวันนี้มันก็ไม่ได้แพงเกินกว่าจะหาซื้อได้


สีของตัวหมากที่ใช้ต่อสู้ทางความคิดกระดานนี้คือ แดง และ ขาว
 หากเปรียบเปรยกับยุคนี้คงล้าสมัย
สีเหลืองน่าจะเหมาะกว่าขาว





หมากเดินตัวม้าของอาแปะเป็นตัวที่ไม่สมประกอบนัก
เพราะหูมันหักจากการทำหล่น
ความเสียหายของสิ่งของที่ถูกใช้งาน มักมีเรื่องราวที่น่าจดจำอยู่


ทุกวันนี้หมากรุกมีคนเล่นน้อยลงเรื่อยๆ เพราะมันไม่สนุกเท่าเกมส์คอมพิวเตอร์
กล่องหมากรุกกล่องนี้จึงถูกเก็บไว้เฉพาะลูกค้าประจำของอาแปะ

แต่ถึงอย่างนั้น
กระดาษไม้ตารางหมาก8ช่องของอาแปะก็ไม่เคยว่างเว้นจากหมากฮอต
ที่ตัวหมากคือฝาน้ำอัดลม หากอีกฝ่ายหงายขึ้น  อีกฝ่ายก็ต้องคว่ำลง


หากย้อนกลับไปเมื่อไม่นานมานี้
 วันอาทิตย์คงเป็นเพียงวันว่างที่มีไว้นอนหลับ
การทำงาน โอที มักล่วงเวลามาถึงวันเสาร์
 แม้มันไม่ได้เป็นประจำ แต่ผมมักเห็นว่ามันสำคัญกับเงินที่ได้
วันอาทิตย์จึงเป็นวันหยุดที่มีไว้พักผ่อนอย่างแท้จริง






สำหรับตัวผมเองในตอนนั้นการพักผ่อน
จะไม่รวมการผ่อนคลาย เช่น ดูหนัง ไปเที่ยว เล่นเกมส์ ออกกำลังกาย
เพราะผมมักคิดว่า เวลาพักผ่อน คือการพักที่ต้องพักจริงๆแล้วค่อยผ่อนออกไปออกไป

การผ่อนคลายเต็มไปด้วยค่าใช้จ่าย
ซึ่งหลายอย่างที่ทำให้ผ่อนคลายมักใช้ร่วมกับการพักผ่อนไม่ดีนัก
มันเหนื่อยเกินไปหากจะเอาสิ่งเหล่านั้นมาทำ
 สำหรับการทำตัวว่างๆในวันว่างๆ
ผมไม่มีเวลาที่จะเสียไปกับการผ่อนคลายในวันพักผ่อน ผมเข้าใจไปเองว่าอย่างนั้น


ด้วยความคิดของผม
จึงทำให้ผมเสพเวลาน้อยกว่าคนอื่นทั้งที่เปลืองเวลากว่า
ด้วยการ หลับแล้วตื่น แล้วหลับ แล้วตื่น
นั่งเฉยๆ อยู่เงียบๆ ฟังเพลงเบาๆ หาอะไรกินง่ายๆ
จนรู้สึกได้ว่าผมได้ใช้เวลาวันหยุดของผม
อย่างเต็มอิ่ม กับการพักด้วยวิธีการผ่อน


จนเริ่มพบกับลุงขวด ผมจึงเข้าใจนิยามการใช้เวลาในวันหยุดเปลี่ยนไป



 

เวลาผ่านไปเกือบ 8 นาทีแล้ว
ผมสั่งโอเลี้ยงไว้รอลุงขวด เพราะรู้ว่าลุงขวดมักมาสายกว่าผมอย่างน้อย 10นาที
นี่เป็นบ่ายวันอาทิตย์อีกวันที่ต่างจากเดิม
..ตรงที่ มีกิจกรรมบางอย่างในวันหยุดพัก
 



 





 


บางทีผมก็อยากหนีออกจากอีแก่
 มันทำตัวจู้จี้เกินไปสำหรับผม แต่ก็ทำไม่ได้
หลายปีมาแล้วที่ผมมองหน้าอีแก่
 เท่าๆกับมองหน้าตัวเองในกระจก มันเป็นเหมือนคนๆนึงที่ผมอยู่ในชีวิตผม




สมัยตอนที่อยู่กินด้วยกันใหม่ๆ ผมกอดอีแก่ทุกวันก่อนไปทำงาน
 ผมกลับมาหอมแก้มมันทุกครั้งหลังเลิกงานแล้ว
หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จ ผมอาบน้ำทาแป้งเย็นนอนกอดมันหลับฝัน อย่างไม่สนใจวันพรุ่งนี้




อีแก่กับผมรักกันได้ดี จนวันเวลาของข้าวใหม่ปลามันผ่านไป
ชีวิตที่เหนื่อยแสนเหนื่อยดำเนินไปด้วยงานที่หนักแสนหนัก
 ควบคู่กับ ความสุขเพียงเล็กๆน้อยๆจากการพักผ่อน
บางวันผมกับอีแก่ ไม่ได้พูดกันเลย ต่างคนต่างเหนื่อย
เราไม่มีเวลาพอที่ที่จะคลุกคลีกันเหมือนแต่ก่อน






ยิ่งตอนที่เรามีลูก เวลาระหว่างเราสองคนก็หายไป
 แต่แปลกที่เรามีความสุขความทุกข์จากลูกที่เกิดขึ้นมาจากเรา
มันมากกว่าความทุกข์สุขของผม และ อีกแก่โดดๆเสียอีก
 เหมือนชีวิตผมกับอีแก่มีศูนย์กลางที่ลูกไปเสียแล้ว

จนวันนี้ลูกของเราโตพอ จึงขอย้ายไปอยู่ลำพัง เพื่อทำงาน
และเพื่อความพร้อมที่จะสร้างครอบครัว
ผมกับอีแก่ต้องมาใช้ชีวิตตามลำพังอีกครั้ง มันเป็นอะไรที่ไม่คุ้นเคยเลย
จู่ๆพอเวลากลับมา ก็ยังสู้ไม่มีเวลาเหมือนก่อนสะยังดีกว่า
ผมทำอะไรไม่ถูกจริงๆ




หนวดเคยเป็นเหมือนผมตอนทำงาน
ผมเข้าใจดีแต่ไม่เคยสอนอะไรหนวดมากนัก
เพราะหนวดต้องเข้าใจความเหนื่อยให้เลยผ่านไปจนพูดไม่ออกเสียก่อน
เมื่อเขาคิดจะพูดเกี่ยวกับเวลา และ ความเหนื่อยยากของตัวเองอีก
 มันต้องมีความหมายที่เปลี่ยนไป
จึงจะได้เรียนรู้อย่างครบถ้วน และเลือกทางที่ถูกใจ หรือ ลำบากใจน้อยที่สุด

การเติมความสนุกลงไปในงาน ด้วยแรงขับดันใหม่ๆ
 ด้วยกำลังใจใหม่ๆ ด้วยแง่คิดใหม่ๆ
ที่เต็มไปด้วยประโยชน์นั้น สำคัญมากกว่าการทำงานไปวันๆ

หนวดเป็นคนที่รักในงานของตน
 แต่เมื่อทำงานไปนานๆก็เกิดความเคยชินจนคำว่ารักหายไป
แล้วกลายเป็นความเหนื่อยในสิ่งที่ต้องทำเพิ่มมากขึ้น

 อยากพักผ่อนมากขึ้นแต่พอได้พัก
ก็โหยหาที่จะกลับไปทำงานอีก การทำแบบนี้ไร้จุดประสงค์
 หากแต่เต็มไปด้วยความอยาก





ผมเคยผิดพลาดมาก่อน ความนับถือที่หนวดมีต่อผม
คงพอจะได้ถ่ายทอดการก้าวเดินที่ถูกต้องให้เขาฟังได้
แต่ไม่ควรจะให้หมดสิ้นกระบวนการสะทีเดียว
ผมคงน่าเบื่อ และดูเหมือนวุ่นวายกับชีวิตของเขาเกินไป


ผมไม่ได้สอนอะไรเขามากนัก
เพียงให้แง่คิดว่าหากจะทำอะไรจนเป็นนิจนั้น
หากเวลาผ่านมาแล้ว ลองตั้งคำถามกับตัวเองดูหรือยังว่าเข้าใจสิ่งที่ทำมากแค่ไหน
 รู้สึกอย่างไร

ถ้าเขาตอบได้จริงๆ เข้าใจมันดีแล้ว ก็จงเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เหมาะสม
เพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ๆเพิ่มเติม เปรียบเทียบกับสิ่งเก่าๆ ถึงแม้ว่ามันจะเสียเวลาไปบ้าง
แต่ก็ทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้น แค่นั้นเราก็จะมีแต่เวลาที่ไม่ถูกทอดทิ้ง
หนวดไม่เข้าใจมันมาก แต่ดีที่เขาเริ่มทำมันขึ้นมาแล้ว


เงาไกลๆในร้านแปะ ไม่ชัดเท่ากลิ่นของเจ้าหนวด
ผมเห็นหนวดนั่งดูดน้ำส้มไบเล่ของเขาอยู่
 พร้อมกับโอเลี้ยงของผมที่เขาสั่งรอไว้ให้




การเดินหมากรุก หากเริ่มเล่นเป็นแล้ว มองออกแล้ว
สามารถบอกความคิด และนิสัยของคนได้
หนวดเพิ่งเล่นได้ไม่นาน แต่ผมก็หวังแค่ว่าหากวันนึงหนวดเล่นเป็น
ผมอาจรู้ได้ว่าหนวดกำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่
แล้วเขามีวิธีจัดการมันอย่างไร หากสรภูมินั้นเป็นกระดานไม้แปดช่อง


หมากรุกมันดีตรงที่ การก้าวเดินสั้นๆของมันแต่ละก้าวนั้น ต้องวางแผนไกลๆ
คงเหมือนผมที่แก่แล้ว แต่ละก้าวของผมเชื่องช้าและระยะสั้น
จึงเป็นเหตุผลที่แม้จะเผื่อเวลาแล้วก็ยังมาสาย
แต่นั่นไม่ได้แปลว่าผมคิดเชื่องช้าเหมือนร่างกาย

ประสบกาณ์ทางไกลของผมมักสอนคนก้าวเดินเร็วๆได้เสมอๆ
แม้ต้องเจอเรื่องที่ไม่คุ้นเคยบ้าง
 ประสบการณ์ที่ผ่านมา บอกผมไว้ว่าให้อยู่ร่วมกับมัน




ผมเดินมาจนถึงแก้วโอเลี้ยง หนวดสวัสดีผมเป็นปกติ
โอเลี้ยงไม่เคยคลายความเย็นเมื่อได้ดื่มมันกับเพื่อนที่รู้ใจ
“ได้เวลาตั้งกระดานกันแล้วล่ะ เจ้าหนวดเอ๊ย”




 






เช้าวันนี้งัวเงีย และ ซึมเซาเหลือเกิน
วันอาทิตย์เป็นเพียงวันเดียวที่ผมไม่ต้องอ่านหนังสือ
คืนวันเสาร์จึงหลับได้ดึก
แต่ไม่สบายนัก เพราะวันเสาร์เป็นเพียงวันเดียวที่ผมเลือกเปิดพัดลม






เครื่องปรับอากาศถูกใช้งานทุกคืน จากการอ่านหนังสือของผม
ผมต้องอ่านหนังสือทุกคืน เผื่อไว้ตะเวนสอบตรง หรือ เพื่อการสอบต่างๆ
พ่อแม่ของผมบอกว่า “ โอกาสมักเป็นของคนที่พร้อม ”
ผมเป็นอีกหนึ่งคนที่มั่นใจว่าพร้อมมาก
แต่ไม่ชอบเดินเข้าหาโอกาส
เพราะผมยังไม่รู้ว่าตัวผมเองชอบอะไร อยากเรียนอะไร
 ผมใช้เวลาค้นหาแบบนี้มันจะผิดไหม?





เคยมีรุ่นพี่แถวบ้านคนนึง เขาเอนทรานซ์ติด
พ่อแม่ของพี่คนนั้นคุยโวไปทั่วทั้งหมู่บ้าน
ญาติๆที่รู้จักต่างได้รับการอวดคำโตจากพ่อแม่ของพี่เขา
ผมเดินเข้าไปถามเขาด้วยความอยากรู้
ว่าเขาชอบในสิ่งที่เขาเลือกหรือเปล่า คำตอบที่ได้ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ



เขาบอกผมว่า “ กูไม่รู้ว่ะ คะแนนกูถึง กูก็ยื่นคะแนนไป ”
ผมถามเขาต่อว่า “ แล้วพี่เลือกคณะจากอะไร? ”
เขาคิดสักพัก ก่อนถอนหายใจตอบผมว่า “ กูเลือกจากสิ่งที่พ่อแม่กูชอบไว้ก่อน จะได้ไม่ซวย ”
ผมถามพี่เขาต่ออีกด้วยความสงสัยต่อเนื่อง “ แล้วสิ่งที่พี่ชอบล่ะ ”

พี่เขาเงียบนานกว่าเดิม ก่อนพูดว่า
“ กูไม่รู้ว่ะ วิชาภาษาไทย สังคม เคมี ฟิสิกส์ห่าอะไรนั่น บอกว่ากูชอบอะไรไม่ได้เลย”





..กูก็กวดวิชามาแมร่งหมดทุกวิชา
คะแนนก็ดีไปตามวิชาที่กูเข้าใจมากน้อยต่างกันไป
..แต่กูเลือกสิ่งที่กูคิดว่ามันเข้าท่าไว้อันดับท้ายๆ
 ..ขืนกูไว้อันดับต้นๆพ่อกูคงด่ากูตาย
 คะแนนสายวิทย์แต่สูงเสือกเลือกเรียน วิจิตรศิลป์ ถ้าติดมาซวยตายห่า ”

เสียงของรุ่นพี่คนนั้น ก้องกังวานอยู่ในหูของผม
ทางเลือกที่ดีมีไว้สำหรับคนที่เขาห่วง
หรือ มีไว้สำหรับคนที่มีผลกระทบต่อเขากันแน่


  สำหรับหลายชีวิตความเป็นตัวเองถูกทำลายตั้งแต่
ทำสิ่งที่ชอบไปตามเงื่อนไขของคนที่ตนรัก
เพียงเพื่อให้เขาเกิดความสบายใจ
 และทิ้งตัวเองไว้เบื้องหลัง รอวันชดเชย





หลายปีผ่านไปพี่คนนั้นเรียนไม่จบภายในเวลาที่กำหนดไว้
เพราะความจริงบางอย่างในตัวเขาชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
.. เขาไม่ได้ชอบในสิ่งที่เรียน


เราหนีปัญหาต่างๆด้วยเวลาเฉพาะหน้าได้ แต่ใช้เวลาทั้งชั่วชีวิตหนีตัวเองไม่ได้

บทเรียนนี้สอนให้ผมต่อรอง
ระหว่างความเป็นจริง และ ความชอบของผมที่จริงกว่า

ผมจึงทำคะแนนตอนมัธยมสูงๆเข้าไว้เพื่อให้พ่อแม่ของผมพอใจ
 แล้วขอค้นหาตัวเองหนึ่งปีจึงค่อยสมัครเรียน
ผมทำให้มันเสมอตัวก่อนจะเสีย
พ่อแม่ผมโกรธมาก แต่ผมรู้ว่านี่เป็นทางเดียวเท่านั้น
 ที่จะไม่ทำให้ชีวิตของผมหายไป





ผมยังคงอ่านหนังสือหนักเหมือนเดิม อ่านไปอย่างไม่มีจุดหมาย
อ่านไปอย่างไม่รู้ว่าจะได้ใช้ประโยชน์จากมันมากหรือไม่
 พ่อแม่มักโทรมาหาผมทุกๆ 3 ทุ่ม และท้วงติงเรื่องอ่านหนังสือ


ผมไม่แน่ใจนักว่า ชีวิตของคนเราต้องสอบเฉลี่ยคนละกี่ครั้ง
 ผมลองคำนวณดูเล่นๆ หากจะเป็นใหญ่เป็นโต
ผมอาจต้องสอบครั้งยิ่งใหญ่ในชิวิตประมาณ 10 ครั้งอย่างต่ำ
แปลกที่การสอบเหล่านั้น ไม่มีการสอบนิสัยของคนสักครั้ง
เขาคงชอบคนเก่งในการทำงาน มากกว่าคนดี

ที่ผมรู้ ทุกอย่างๆสอนให้คนดีทุกคนเป็นคนเก่งได้
แต่อย่างสอนให้คนเก่งทุกคนเป็นคนดีไม่ได้
คงเหมือนการเมืองสมัยนี้

แต่ที่สำคัญ.. ผมยังสอบครั้งสำคัญไม่ถึง5ครั้ง



หากปากท้องถูกกำหนดมาด้วยงานที่ทำ
ต้องใช้เวลานานแค่ไหน
จึงทำให้แต่ละวินาทีที่เสียไป คุ้มค่าพอกับการทำสิ่งๆนั้น
แล้วถ้าหากยังต้องทนอยู่กับความไม่ชอบล่ะ
 เราควรใช้เวลายังไงกับมัน?

ความเป็นจริงมักโหดร้ายเกินกว่าจะมีเวลาคิด
ในช่วงสายที่แสนสบายของวันอาทิตย์



เช้าวันผ่อนคลายแบบนี้ ผมไม่เลือกที่จะดื่มกาแฟ
ผมไม่ต้องการคาแฟอีนจากมันนัก
ผมต้องการดำเนินชิวิตไปอย่างเชื่องช้า และปล่อยความเป็นเหตุเป็นผลทิ้งไปในวันผ่อนคลาย
ฟังเสียงผู้คนที่ผ่านมาผ่านไป





เช่นเดียวกับเสียงผู้หญิงห้องข้างๆ ..เธอส่งเสียงร้องดังในทุกคืนวันเสาร์
มันเป็นวันที่เธอควงชายแปลกหน้าเข้ามานอนด้วย
ผมไม่เคยชินกับการฟังเสียงครวญครางนั้นนัก
แต่ก็รู้สึกดี ที่รู้ว่าทุกครั้งเธอจะจบลงด้วยความสุขที่เธอเลือก
โดยไม่ต้องคิดว่าชอบมันหรือไม่

“ผมรู้สึกได้จากเสียงผ่อนคลายตอนเธอถึงจุดหมายของค่ำคืน ยาวนานกว่าเสียงเริ่มต้น”








ฉันจำได้ลางๆว่า แต่ไม่ชัดเจนว่า เขาหรือฉัน ใครสักคนที่เริ่มก่อน
ตอนนั้นบรรยากาศคละคลุ้งไปด้วยผู้คนที่มาปลดปล่อยความเครียดด้วยอบายมุข
ผู้ชายคนนั้นมีเสน่ห์มาก เขาทำตัวน่ารัก พูดจาดี และ ไม่ได้ทะโลมฉันทั้งแต่แรกเห็น
เหมือนมันเป็นความตั้งใจที่เขาจะสงวนท่าทีไว้จีบฉัน



เราดื่มกันหลายแก้ว คนเริ่มเยอะ
 บรรยากาศอึดอัด เราสนทนากันถูกคอ เขาและฉันตัวชิดกันกว่าที่เคย

หนุ่มโต๊ะข้างๆไร้มารยาทจนเขาต้องปกป้องฉันด้วยการทำทีว่าเป็นแฟน
ฉันชอบสัมผัสนั้นจากเขา
มันเริ่มต้นที่การวางมือไว้ที่เอวฉันอย่างแผ่วเบาเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ
คล้ายกับความรู้สึกของการจับคู่ชายหนุ่มสักคนเต้นลีลาศ
ที่นักเต้นมีความจำเป็นที่ต้องประคองคู่ของเขาไว้จนถึงจุดหมาย
ต่างเพียงลีลาศ ที่สัมผัสจากปลายมือของเขาสู่เอวของฉันที่เกิดหลังจากนั้น
….ร้อนแรงกว่าการเต้น






เพลงจบลงแล้ว ผับทิ้งท้ายด้วย5เพลงช้า เป็นสัญญาณบอกเลิก
ฉันเมามาก เขายังไม่หยุดทำให้ฉันหัวเราะ
เขาทำให้ฉันสนุกสนานพอที่จะปล่อยใจไปกับเขาในคืนนั้น
ฉันรู้เพียงว่า คอนโดของเขาคงไม่ใช่ที่ๆฉันจะควบคุมเกมส์ได้
เทคนิการเลือกสถานที่ๆดีกับชายที่เพิ่งรู้จักคือ หากมันจะจบด้วยเซกส์
เราเล่นตัวได้จนกว่าจะมีสิทธิ์เลือก
ฉันต้องเป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์นั้นเอง อย่างน้อยจะได้ไม่ไร้ค่าไปสะทีเดียว
เราออกจากผับ ด้วยการรถของเขา และมีจุดหมายตามใจฉัน




ฉันกอดคอเขาเข้ามาที่ห้องของฉัน
ค่ำคืนของทุกวันเสาร์ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับความสนุกสนานนี้
แสงไฟ เสียงเพลง เครื่องดื่ม เกมส์ รายการทีวี
และ กลิ่นหอมต่างๆถูกจัดเตรียมไว้ในตำเหน่งของมัน


เรื่องราวการแลกเปลี่ยนของเรา
เริ่มต้นด้วยการจูบ และ จบลงด้วยสัมผัสเดียวกัน
 ปากของฉันในค่ำคืนนี้ยังเป็นตัวชูโรง ที่แสนวิเศษ
ฉันมีอารมณ์ทางเพศอีกครั้งราวกับถูกบำบัดจากเขา




เวลาตี 3เศษ หลังจากที่เรานอนหลับสักครู่
 เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น
ฉันคงไม่ต้องเดา เสียงผู้หญิงกับบทสนทนาในสายโทรศัพท์ดังมากในค่ำคืนที่เงียบสนิท
แต่คงดังน้อยกว่าเสียงกรีดร้องของฉันระหว่างเรามีอะไรกัน


เขาหมดเสน่ห์ลงตรงที่ความจริงทุกอย่างถูกเปิดเผย
ทั้งที่ก่อนหน้านั้นปิดปากเงียบ
เซกส์ที่ถูกบำบัดจากเขา กลายเป็นแผลเป็นในใจของฉันอีกครั้ง
เวลาแห่งความสุขที่ได้มาง่ายๆช่างร้ายกาจนัก




เขาทำตัวรีบร้อน เหมือนไม่มีเวลาว่างพอจะอยู่ถึงรุ่งเช้า
และ พยายามหาวิธีบอกลาฉันอย่างนุ่มนวล

ฉันรู้สึกแย่ จนต้องหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ
และบอกเขาด้วยประโยคซ้ำๆที่ฉันมักพูดเสมอๆ กับบุคคลเหล่านี้
“ อย่าคิดมากน่า ”

เสียงหัวเราะเบาๆ มีความคิดกลุ่มใหญ่ในควันบุหรี่ว่า
 “เวลาก่อนหน้านั้น คงถูกใช้ไปหมดแล้วสิท่า”



เขาชะงัก มองหน้าฉัน  ก่อนฉันจะพูดประโยคต่อไปด้วยใจความเดิมๆว่า
“ โถ.. หนุ่มน้อย เธอไม่มีเวลาพอจะแก้ตัวให้ฉันฟังหรอก ไปเถอะ!
 












 
ผมถึงลอนดอนในเวลาเช้ามืด เครื่องdelayed อยู่ 4 ชั่วโมงเพราะเครื่องยนต์ขัดข้อง
ทั้งที่ซูริค กับ ลอนดอนห่างกันเพียงแค่ 1 ชั่วโมง 50 นาที
สายการบินชดเชยด้วย ค่าอาหาร และ ที่พักฟรี ที่ทางสายการบินจัดเตรียมไว้ให้
มันคงไม่พอกับเวลาที่เสียไป ผมรู้สึกได้จากการมองสีหน้าของเพื่อร่วมเดินทาง
จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาบางคนโวยวาย บางคนทนไม่ได้ที่ต้องรอ
บางคนแทบไม่มองพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเลยด้วยซ้ำ

พวกเขาคงมีธุระที่รอไม่ได้กันทั้งนั้น คงมีแต่ผมที่ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร



เช้านี้ผมเลือกไปเดินเตร่ๆไปย่าน portobello market ใน notting hill
เจอเพื่อนร่วมเดินทางที่แสดงความที่ไม่พอใจกับการเสียเวลา จากการ delayed เหล่านั้น
นั่งจิบกาแฟ ทำตัวสบายๆหน้าร้าน  coffee plan












การเดินทางของเวลาทำให้ประสบการณ์ของเราเพิ่มขึ้น
และไม่เคยหยุดไว้แม้ในช่วงเวลาที่เราหยุดคิด
อะไรที่ทำให้อายุที่เท่ากัน แต่กลับมีความรู้สึกที่ไม่เท่ากัน
อะไรที่ทำให้การทำสิ่งที่เหมือนกัน ในเวลาเดียวกัน แตกต่าง
หรือเพราะ เรามีเวลาในสิ่งนั้นเหมือนกัน แต่เราใช้ไปในความรู้สึกที่ไม่เท่ากัน
 











ผมเลิกอ้าง คำว่า ไม่มีเวลา 
ตอนที่ได้เริ่มเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างจากลุงขวดขณะเล่นหมากรุก
ทันทีที่ ตัวม้าหูไม่สมประกอบของผมถูกกิน แกพูดกับผมว่า
“  มึงรู้ไหมหนวด  เวลาที่เสียไปในสิ่งหนึ่ง มักได้อีกสิ่งหนึ่งกลับมาเสมอ ”
 














10 ความคิดเห็น:

NamzZa กล่าวว่า...

เพลงประกอบแต่ละบทของคุณนิเข้ากั๊นเข้ากันนะคะ
จนทำให้คิดว่า ... หากจะทำเป็นหนังสือขึ้นมาจริงๆล่ะก็ ...
คงต้องแถมแผ่น CD ให้ด้วยนะคะเนี่ย จะได้อารมณ์มากขึ้น ^^

บทที่สองเรื่อง "ไม่มีเวลา" ของลุงหนวดนิ
สื่อถึงการไม่มีเวลาในแบบต่างๆได้หลายมุมมากค่ะ


น้ำชอบบ่นบ่อยๆว่าตัวเองไม่มีเวลา
แต่พอเอาเข้าจริงๆ พอมีเวลา ก็ไม่ได้ทำในสิ่งที่เราจะทำตอนที่ ไม่มีเวลาตอนนั้น
สุดท้ายแล้ว มันก็คงเป็นแค่ "ข้ออ้าง" กระมัง..

แล้วก็คงเหมือนที่ลุงขวดพูดไว้ตอนจบ
"เวลาที่เสียไปในสิ่งหนึ่ง มักได้อีกสิ่งหนึ่งกลับมาเสมอ"

บางทีเราอาจจะลืมคิดไปด้วยซ้ำว่าที่ได้กลับมาคืออะไร
เพราะมัวแต่ไปจับจด เสียจิตกับเวลาที่มันเสียไป...

แต่สุดท้าย กว่าน้ำจะได้มาเม้นท์ที่บทนี้คุณ coHd ก็เล่นเอามาอ่านหลายรอบอยู่ค่ะ
ก็เพราะเจ้าคำว่า "ไม่มีเวลา" เนี่ยแหละ ...

สงสัยต่อไปคงต้องอ้างคำนี้ น้อยลงหน่อยสะแล้ว

^^
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆนะคะ ... บางทีน้ำอาจจะอ่านไม่ตรงประเด็นที่คุณอยากสื่อก็ได้
แต่ว่ายังไงก็ชอบอยู่ดีและค่ะ >w<

อ่อออ...อีกอย่างคือ ตอนอ่านเรื่องของสาวแล้ว อ่านไปอ่านมา...ก็นึกได้ว่า
เอ๊ะ...คุณ coHd เป็นผู้ชายนิน่า
ทำไมรู้ไปสะหมดว่าผู้หญิงคิดยังไง
หรืออออ คุณจะเป็น "อาร์ทตัวแม่" ปลอมตัวมา!!
ฮ่าฮ่า ล้อเล่นนะคะ ....

ดูแลจิตใจและร่างกายให้ดีนะคะ
คิดถึงมากมายและก็ขอบคุณอีกครั้งค่ะ...

น้ำ...

coHd กล่าวว่า...

ผมชอบความเห็นของคุณน้ำมากครับ
อ่านแล้ว ผมรู้สึกสบายใจดีจัง

ผมชอบความเห็นที่มีความเข้าใจจากคนที่อ่าน
มากกว่าเป็นความเข้าใจไปในทางที่ตรงกับบทความครับ


การอ้างว่าไม่มีเวลาใช้ได้เสมอจริงๆครับ
ตัวผมเองก็ชอบอ้างว่าไม่มีเวลา
พอเจออะไร ที่เร่งๆเข้า ก็ต้องเผาเอาทุกที

แล้วก็ชอบคิดว่า ทำไมตอนมีเวลาไม่ทำ
แต่พอกลับมาคิด ก็ทราบได้ว่า
ตอนที่อ้างว่าไม่มีเวลา เราเอาเวลาไปทำอย่างอื่นมากกว่า

ทั้งที่เหมือนจะเสียเวลาไปจริงๆ ที่จริงแล้ว
ก็เสียไปไม่หมด เพราะเราจะได้อีกอย่างหนึ่งกลับมา

เช่น

จะอ่านหนังสือ ขี้เกียจเลยหลับ
หนังสือไม่ได้อ่าน แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือพักผ่อน

เป็นต้น

ก็เลยลองเขียนบทความเรื่อยเปื่อยขึ้นมา
ที่เด็ดกว่ามันคือ ถ้าสังเกตจริงๆบทความนี้
ถ้าอ่านจนจบ จนได้ใจความ จนกว่าจะเข้าใจ
มันเสียเวลาจริงๆครับ จนทำให้รู้สึกว่าไม่มีเวลาอ่าน


ขอบคุณจริงๆนะครับคุณน้ำที่เข้ามาให้ความเห็น
ยินดีมากจริงๆ ที่เข้าใจในสิ่งที่สื่ออย่างชัดเจน
ทั้งเพลง ทั้งเนื้อเรื่อง ทั้งอารมณ์

ส่วนเรื่องอารมณ์ผู้หญิง ผมเดาเก่งครับ!
(เพิ่งรู้ว่าบังเอิญถูกบ้าง จากสิ่งที่คุณน้ำบอกว่าผมรู้เนี่ยล่ะ ^^)


ปล.
> ขอบคุณครับ

coHd กล่าวว่า...

"เพื่อนของผมคนนึงบอกว่า นี่นิยายภาพรายปัก(ใจอ่าน)..ผมชอบคำพูดนี้จริงๆ ดองแล้วดองอีก ..อาจยังไม่สายใช่ไหมครับ ที่จะมีบทเรียนที่ 3 " Y_Y

dokpeep กล่าวว่า...

...ไม่รู้ว่าเป็นเพราะชื่อเรื่องบทที่สองมันช่างโดนใจหรืออย่างไรไม่ทราบได้ แต่กลายเป็นว่าดอกปีบกลับกลายเป็นคนที่อาศัยข้ออ้างว่า”ไม่มีเวลา”ไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง

ทุกครั้งที่หยิบบทเรียนที่2 ขึ้นมาอ่านทีไร ก็รู้สึกเหมือนโดนเหน็บอยู่กลายๆจากเหลี่ยมลุงหนวด ว่า จงหาเวลาซะ !

......ตอนที่ได้อ่านบทเรียนที่ 1 “เช้าแล้ว” จำได้ว่าประทับใจมากๆค่ะ ทำให้ในระหว่างที่รอนั้นดอกปีบเฝ้าคอยลุ้นอยู่เสมอว่า บทที่2จะเป็นยังไงน๊า....

....เหมือนเราคอยติดตามนักเขียนที่ชื่นชอบของเราซักคนนั่นแหละค่ะ ที่เราอยากรู้ว่า คราวนี้เค้าจะนำเสนอมาในรูปแบบไหน แต่ในที่สุดก็กลายเป็นเราเองที่ติดกับดักของคำว่าไม่มีเวลา...555

..ก็ถือซะว่า มาช้ายังดีกว่าไม่มาจะดีกว่านะคะ ขอโทษด้วยนะคะที่commentatorมาช้าๆ555 โหวว....พูดเล่นนะคะ ดอกปีบมิบังอาจเป็นคอมเมนต์เตเตอร์หรอกค่ะ

ขอเป็นผู้ติดตามนิตยสารรายปักษ์ใจอ่านของคุณต่อไปเหมือนเดิมล่ะกันคะ

งั้นเอาเป็นว่าดอกปีบจะเล่าให้ฟังละกันนะคะว่า อ่านบทที่เรียนที่2แล้วรู้สึกยังไง หลังจากที่หายไปซะนาน....


......ที่หายไปนานเนี่ย ก็อ่านมาแล้วหลายรอบมากๆค่ะ 555 เพราะอ่านรอบแรกจบแล้วอึ้งมากค่ะ ประทับใจจังเลย ไม่เสียแรงที่รออ่าน คือเรารู้สึกว่า เออ เรื่องนี้มันมีอะไรให้เราคิดตามมากกว่าที่เราคาดคิด

ดอกปีบชอบสไตล์การเขียนลุงหนวดของคุณนะคะ เพราะสไตล์ของคุณ คือ...ไม่มีสไตล์...555

อ่านบทที่2แล้ว มองเผินๆดูเรียบง่ายคล้ายกับบทแรก แต่วิญญาณนักอ่านผู้ติดตามของเรากลับบอกเราอยู่ในใจว่า ไม่นะ...เหมือนมันมีอะไรที่ต่างออกไปนะ จะว่าไปดูคล้ายแต่ไม่เหมือนเลยล่ะคะ

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าดอกปีบชอบคิดตามมากเกินไปรึป่าวนะ

แต่จำได้ว่าเคยอ่านเจอที่ไหนซักแห่งนึง ที่คุณเคยเขียนบอกไว้ประมาณว่า คุณชอบเขียนให้มีแง่คิดของคนเขียน แต่ก็จะต้องช่องว่างเอาไว้สำหรับจินตนาการของคนอ่านบ้างอย่าใส่ไปทั้งหมด (ประมาณนี้อ่ะนะ แต่จำประโยคเต็มคุณไม่ได้หรอก ..อิอิ..)

...ก็เลยจะบอกว่า ถ้าจะให้นิยามบทเรียนที่2 เทียบกับบทเรียนที่1แล้ว ล่ะก็ ที่ชอบมากกว่า ก็เพราะ ...มันดูเรียบง่ายกว่า แต่ในความเรียบง่ายนั้นดูลึกและยากดี ..ชอบค่ะ และอย่างว่า อ่านรอบเดียวย่อมไม่เคยพอกับการคิดตาม...

dokpeep กล่าวว่า...

.....หลังจากอ่านจบมา 2 บทเรียนแล้ว ทำให้ดอกปีบตัดสินใจได้แล้วค่ะว่า ดอกปีบชอบมุมมองและวิธีขบคิดของลุงหนวดมากที่สุด

เพราะเมื่ออ่านบทเรียนที่ 2 ในส่วนที่เป็นแง่คิดและมุมมองของลุงหนวดแล้ว ทำให้รู้สึกว่า คำพูดของลุงหนวดมักเป็นแง่คิดที่ตรงใจเหมือนกับถูกระบายสีไว้เด่นชัด ให้เราได้เก็บเกี่ยวไปคิดตามต่ออยู่เสมอๆ

.......ดอกปีบชอบมุมมอง การสื่อถึง “ไม่มีเวลา” ของลุงหนวดมากที่สุดค่ะ

ถ้าเป็นในบทเรียนที่ 2นี้นะคะ ชอบตรงที่ว่า

- “ วงรอบของเข็มนาฬิกาบนข้อมือ คือเวลาของผม”

- “ ทุกที่ล้วนมีสิ่งบอกเวลา” หรือแม้แต่

“หนึ่งในการมองแต่ละครั้งเป็นเวลาเดียวกันที่ไม่เท่ากัน”


....คืออ่านไปจนหมดแล้ว สุดท้ายแล้วบางทีมันก็ทำให้ย้อนกลับมาที่ประโยคเริ่มต้น ให้เราได้สะกิดใจว่า อันที่จริงแล้วคำว่า “ไม่มีเวลา” นั้นไม่เคยมีจริงๆต่างหาก

เพราะอย่างที่ลุงหนวดบอกไว้ “การเดินทางของเวลาทำให้ประสบการณ์ของเราเพิ่มขึ้น และไม่เคยหยุดไว้แม้ในช่วงเวลาที่เราหยุดคิด”

เพราะที่จริงแล้วเรามีเวลาเป็นของเราเองเสมอ ...ขึ้นอยุ่กับว่าเราจะเลือกใช้เวลาและมีมุมมองต่อมันอย่างไร...

.......และสำหรับการ “ไม่มีเวลา” ในบทเรียนที่2 ของแต่ละคน ก็ยังน่าสนใจเหมือนเดิมค่ะ

แต่สิ่งที่รุ้สึกได้ในแต่ละคนนั้น ดอกปีบกลับไม่ได้รุ้สึกว่า “ไม่มีเวลา” แบบเหมือนๆกันของแต่ละคนหรอกนะคะ

แต่ดอกปีบกลับรู้สึกว่า ตัวละครแต่ละตัว เค้ามีมุมมองต่อการใช้เวลาที่อ้างว่าไม่มีเวลาที่ต่างกันซะมากกว่า


.....อย่างเช่น คุณ เจ๊ตเติ้ลแมน ที่ให้ความรู้สึกของการไม่มีเวลาไปในรูปแบบความล่าช้าของการที่เครื่องdelay ทำให้ต้องเสียเวลาไปกับการรอคอยรูปแบบต่างๆ

ซึ่งกับคุณเจ๊ตเติ้ลแมนนี่ดอกปีบชอบตรงที่พี่แกไม่ค่อยยี่หระอะไรเท่าไหร่นัก 555

และนอกจากนี้ตรงที่บอกว่า “ไม่มีใครเดินทางโดยเครื่องบินแล้วไม่รีบ....เพียงแต่มีความมากน้อยไม่เท่ากัน”

...คือ อ่านแล้วทำให้นึกถึง คำพูดที่ว่า “ต้นทุนเวลาของคนเรามีค่าไม่เท่ากัน” และในความไม่เท่ากันนั้น ขึ้นอยู่กับว่าคุณมองที่ใครเป็นสำคัญ ...

dokpeep กล่าวว่า...

.....ส่วน “สาว” ครั้งนี้ดอกปีบชอบในความเด็ดเดี่ยวของการไม่มีเวลาของเธอเอามากๆเลยล่ะคะครั้งนี้

เพราะว่ามันให้ความรู้สึกของการเลือก “ใช้เวลา” มากกว่าที่จะปล่อยให้เวลาเสียไป

แม้ว่ามันจะผ่านการคิดตรึกตรอง การส่งสายตา การวางแผนเพื่อให้ได้ครอบครองเวลาแห่งความสุขที่เธอต้องการ

..เพราะฉะนั้นคำว่า “ไม่มีเวลาแล้วล่ะ” ของสาวจึงให้พลังความมุ่งมั่นที่จะไม่ปล่อยให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ ให้ความรู้สึกว่าตัวเราเองสามารถเลือก “ใช้”เวลาได้

....แต่สุดท้ายก็แอบเศร้าเล็กๆที่ว่า ...เวลาก่อนหน้านั้นคงถูกใช้ไปหมดแล้วสิท่า....เมื่อตอนที่ชายหนุ่มคนนั้นไม่มีเวลาว่างพอจะอยู่ถึงรุ่งเช้า

...แม้ว่าเราคนอ่านจะแอบรันทดในหัวใจเล็กน้อยไปกับคำพูดนั้น
แต่ดอกปีบก็เชื่อว่า สาว น่าจะยอมรับการ “ไม่มีเวลา” ไปกับการเลือก “ใช้เวลา” ที่เธอตัดสินใจเลือกเอง

เพราะอย่างน้อยเธอก็น่าจะมีความสุขกับการเป็นผู้เลือกใช้เวลาดีกว่าที่จะปล่อยให้เวลาผ่านไปแล้วมานั่งเสียดาย


.....ส่วน แจ๊กกี้ จ่อย .....อ่านแล้วรู้สึกอิจฉาค่ะ

อิจฉาตรงที่...แม้ว่าตอนนี้เค้าจะไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางของเวลาของเค้าคืออะไร

แต่ ณ ขณะนี้ เค้ากล้าที่จะใช้บทเรียนที่เค้ามีในการที่จะใช้เวลาไปกับการค้นหาระหว่าง “ความเป็นจริง” และ “ความชอบของเค้า....ซึ่งจริงยิ่งกว่า”

ก็คงอย่างที่เค้าบอกไว้แหละค่ะ “...เราหนีปัญหาต่างๆด้วยเวลาเฉพาะหน้าได้ แต่ใช้เวลาทั้งชั่วชีวิตหนีตัวเองไม่ได้....”

และแม้ว่าเค้าจะยังคงตั้งคำถามอยุ่ว่า ...ต้องใช้เวลานานแค่ไหน จึงทำให้แต่ละวินาทีที่เสียไปคุ้มค่าพอกับการทำสิ่งนั้นๆ ....

แต่หลังจากอ่านคำถามและเจตนาในการค้นหาของเค้าแล้ว ดอกปีบรู้สึกอิจฉาเค้าจริงๆ ที่เค้านี่แหละคือคนที่ให้เวลากับการค้นหาที่บางทีเราเองไม่กล้ายอมรับ

และไม่ว่าเค้าจะใช้เวลาหรือเสียเวลาไปกับการค้นหามากแค่ไหน...แต่เค้าก็ไม่เห็นกลัวเลยว่าจะ “ไม่มีเวลา”


......และสำหรับ “ลุงขวด” ....แม้จะรุ้สึกว่าแกเป็นผู้ใหญ่และแก่ไปหน่อย 555 ความคิดหรือมุมมองอาจไม่หวือหวา หรือแวกแนว

แต่ทว่ากลับรุ้สึกว่าความคิดความสัมพันธ์ที่แกพยายามจะสื่อสารให้แก่ลุงหนวด กลับเป็นมุมมองที่ผ่านการเรียนรุ้และให้ความรุ้สึกที่เป็นแก่นที่แท้จริงมากกว่า

ชอบตรงที่ลุงขวดแกมองวงจรการทำงานของลุงหนวดแล้วให้นิยามว่า

... “มีความอยาก แต่ไร้จุดประสงค์”

....ดอกปีบว่าแกพูดได้เจ็บและตรงใจดีนะ ทำให้เรารู้สึกอยากทบทวนการใช้เวลาของเราขึ้นมาเลย 555.....

dokpeep กล่าวว่า...

.....และที่ชอบที่สุดที่ลุงขวดพูดก็คือ ประโยคนี้เลยค่ะ
..... “ ถึงแม้จะเสียเวลาไปบ้างแต่ก็ทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้น ...แค่นั้นเราก็จะมีแต่เวลาที่ไม่ถูกทอดทิ้ง...”

ว้าว....มีแต่เวลาที่ไม่ถูกทอดทิ้ง...
โอ้โห ...คมกริ๊บ!! .....ชอบจังเลยค่ะ
อ่านแล้วทำให้ได้เรียนรู้ว่า อย่าคิดว่าเสียเวลา...อย่าอ้างว่าไม่มีเวลา

....เพราะถ้าเวลานั้นได้ถูกใช้และเราได้เรียนรู้จากมันไม่ว่าจะเป็นบทเรียนที่ดีหรือร้าย มันก็จะได้ขึ้นชื่อว่า...เราไม่ได้ทอดทิ้งเวลาให้สูญเปล่าไปนี่นา

และยิ่งได้ฟังมุมมองการใช้เวลาของลุงหนวดที่เปลี่ยนไปจากการเรียนรู้จากลุงขวดแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกว่า

เออ ...ถ้อยคำธรรมดาของตาแก่คนนี้ให้ความรู้สึกเหมือนที่ลุงขวดแกบอกเองว่า ...ประสบการณ์ทางไกลมักสอนคนก้าวเดินเร็วๆได้เสมอ ....


.....หลังจากอ่านจบไปหลายรอบ ประโยคที่ทำให้ดอกปีบรู้สึกว่าเหมือนเป็นนิยามของตัวละครแต่ละตัวในบทเรียนที่2 ล่ะก็

เห็นทีดอกปีบคงต้องบอกว่า ...ดอกปีบชอบหัวใจของใจความประโยคนี้ค่ะ

“ อะไรที่ทำให้อายุที่เท่ากัน แต่กลับมีความรุ้สึกไม่เท่ากัน

อะไรที่ทำให้การทำสิ่งที่เหมือนกันในเวลาเดียวกัน..แตกต่าง

หรือเพราะเรามีเวลาในสิ่งนั้นเหมือนกัน.....แต่เราใช้ไปในความรู้สึกที่ไม่เท่ากัน....”

พออ่านมาถึงประโยคนี้ก็ตอบโจทย์คนอ่านช่างคิด(ไปเรื่อย) อย่างดอกปีบได้ดีทีเดียวค่ะ

และคล้อยตามลุงหนวด ที่ว่า....ควรจะเลิกอ้าง คำว่า ไม่มีเวลา ซะที!

เพราะแท้จริงแล้วเวลาเป็นของเรา...

.....ถ้าจะว่าไปแล้ว แม้ว่าบทเรียนที่1 จะเป็นที่ประทับใจมากก็ตาม

....จะเชื่อมั้ยค่ะว่า แต่พออ่านบทเรียนที่ 2( หลายๆรอบ 555) ดอกปีบจะบอกว่า ดอกปีบชอบบทเรียนที่ 2 มากกว่านะคะ

เพราะชอบตรงที่มันมีรายละเอียดดีค่ะ อ่านรอบใหม่ ก็จะมีรายละเอียดใหม่ๆ ให้เก็บไปเรื่อย 555


....อย่างเช่น เรื่อง การเดินหมากรุกน่ะคะ ที่ว่ามีหมากเดินตัวม้าตัวหนึ่งที่หูมันหักจากการทำหล่นน่ะคะ
...ชอบตรงมุมมองของลุงหนวดที่ว่า.... “ความเสียหายของสิ่งที่ถูกใช้งานมักมีเรื่องราวที่น่าจดจำอยู่

.....แต่ในขณะเดียวกัน ในรายละเอียดเล็กน้อยอันนี้ ตอนที่ม้าตัวเดียวกันนี้ของลุงหนวดถูกกิน
เมื่อผ่านมุมมองของลุงขวดแกบอกว่า ... “ มึงรู้ไหมหนวด เวลาที่เสียไปสิ่งหนึ่ง มักได้อีกสิ่งหนึ่งกลับมาเสมอ”

ว้าว..คมกริ๊บ! อีกตามเคย 555 อืมม ชอบอ่ะ มีหลายด้าน หลายมุมดีค่ะ

อ้อ.. แล้วก็ชอบรายละเอียด การใช้คำพูดของลุงขวดอีกเล็กๆน้อยๆค่ะ

ตอนที่ลุงหนวดกับลุงขวดเค้าได้มาเจอกันแล้ว ลุงขวดพูดว่า “ได้เวลาตั้งกระดานกันแล้วล่ะ เจ้าหนวดเอ๊ย”
มันก็เป็นแค่สิ่งเล็กน้อยแหละนะคะ

แต่ชอบคำว่า “ได้เวลา” ของลุงขวดค่ะ
เพราะเป็นตัวละครเดียวที่ใช้คำกริยาที่เป็นเชิงบวกกับ “เวลา”

คือรู้สึกว่า อืมม เรื่องของเวลา ไม่ได้มีแค่ การ “ใช้” การ “เสีย” หรือ “ไม่มี” เท่านั้นหรอกนะ

......แต่จริงๆแล้วเราก็ “ได้”อะไรหลายๆอย่างจาก “เวลา”เช่นเดียวกัน

.....( โหวว ช่างคิดไปไกลนะเนี่ยเรา ...555)


.....เพราะฉะนั้น สุดท้าย คงต้องบอกว่า ขอบคุณสำหรับ บทเรียนที่2 “ไม่มีเวลา” ของเหลี่ยมลุงหนวด นะคะ

ต้องขอโทษด้วยที่คนอ่านทำตัว “ไม่มีเวลา”ไปช่วงหนึ่ง 555

....ขอให้เหลี่ยมลุงหนวดตั้งใจผลิตผลงานต่อไปนะคะ

อย่าลืมคอนเซ็ปต์ที่เพื่อนคุณบอกเอาไว้ซะล่ะนะคะ ว่ามันนิตยสารรายปักษ์ใจอ่าน...555

.....ดังนั้น ผู้อ่านเช่นดอกปีบจะคอยอ่านและติดตามตอนต่อไปค่ะ ...^ ^....


...Keep your teeth..feed your heart..


dokpeep



ปล.

..ว่าจะไม่แล้วเชียวนะ ...แต่บังเอิญดอกปีบช่างสังเกตอะไรเล็กๆน้อยได้อีกแล้วล่ะค่ะ

...คือว่า แจ๊กกี้ จ่อย ยังคงเน้นการฟังอยู่เช่นเดิม ที่ว่าแจ๊กกี้จ่อยได้ยินเสียงผู้หญิงห้องข้างๆ เธอส่งเสียงร้องดังในทุกคืนวันเสาร์ซึ่งเธอควงชายแปลกหน้ามานอนด้วย
.....แล้วคุณว่า มันจะบังเอิญไปมั้ยค่ะ ที่ “สาว” ก็เป็นตัวละครหนึ่งที่ควงชายหนุ่มมาหาความสุขที่ห้องในคืนวันเสาร์เช่นเดียวกัน
... เอ๊ะ ! คุณว่ามันจะเป็นไปได้มั้ยค่ะว่า เสียงหญิงสาวที่แจ๊กกี้จ่อยได้ยินน่ะ ก็คือ “สาว” นั่นเอง

...โห นี่ตัวละครสองตัวนี้เค้าอยู่ห้องข้างๆกันเหรอค่ะคุณ coHd อืมม มีความเกี่ยวข้องกันโดยทางอ้อม ช่างบังเอิญจริงๆ 555....

( ดอกปีบก็คิดไปเรื่อยเนอะ...^ ^)

coHd กล่าวว่า...

คุณดอกปีบครับ
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่านักเขียนคนอื่นเขาใช้กำลังใจชนิดไหนในการสร้างงาน
ใช้แรงบัลดาลใจรูปแบบไหนในการทำให้มันสำเร็จ

แต่สำหรับผม ผมว่า ผมเจอการผสมผสานทั้งกำลังใจ+แรงบัลดาลใจที่เข้มข้นจากความเห็นของคุณดอกปีบเนี่ยล่ะครับ

ชอบที่คุณดอกปีบอ่านได้แตกมาก แต่ตีแผ่ได้น่าสนใจ
หลายๆปมที่ทิ้งไว้ในเรื่อง ถูกคลี่คลายด้วยความช่างสังเกต

เป็นดั่งที่คุณดอกปีบพูดไว้ในหลายๆคำนั่นเลยครับ
ถูกจนแม้กระทั่งที่สังเกตว่า จ่อย ได้ยินเสียงสาวข้างห้อง
ก็เพราะจ่อยอยู่ห้องข้างๆกับสาว
ตัวละครสองตัวนี้ถูกวางเรื่องราวไว้เรียบง่าย แต่แยบยลบ้าง
เพราะทุกตัวละครเกี่ยวข้องกันหมด ทั้งที่ครึ่งนึงในนั้นไม่เกี่ยวกันเลย และอาจไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ

คุณดอกปีบเริ่มเข้าใจเหตุการณ์ที่ผมแทรกเข้าไปเล็กๆในเรื่อง ซึ่งน่าสนใจจริงๆครับ


ผมชอบคำพูดคุณดอกปีบที่ว่า "ก็คงอย่างที่เค้าบอกไว้แหละค่ะ “...เราหนีปัญหาต่างๆด้วยเวลาเฉพาะหน้าได้ แต่ใช้เวลาทั้งชั่วชีวิตหนีตัวเองไม่ได้....” "

มันเป็นบทสรุปที่กระแทกใจคนเขียนดีจริงๆครับ

ขอให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆนะครับ
คุณคือเชื้อเพลิงที่สำคัญมากของเหลี่ยมลุงหนวด
ถ้าผมไม่มีคนวิจารณ์แบบคุณ
ปล่อยปละละเลยบทความให้มีความหยาบขึ้นแน่ๆ
เพราะผมเริ่มจะเข้าใจไปว่า ผมเขียนเยอะ
และเนื้อหาดูซับซ้อนก่อนไป จนคนอ่านอาจไม่เข้าใจ
ซึ่งนั่นก้บ่งบอกได้จาก การแสดงความเห็นที่เบาบาง
และเงียบเหงา เสียยิ่งกว่าเนื้อเรื่องที่ย่อยง่าย


ผมยังจำคำพูดคุณดอกปีบ ถึงบทความที่เปรียบเหมือนน้ำตาลได้อยู่เลยครับ
มาคิดดูก็ เอ้อจริงด้วย..บทความผมย่อยยากจริงๆ
ยิ่งย่อยยาก ยิ่งใช้พลังงานในการอ่านเยอะ
ยิ่งใช้พลังเยอะยิ่งย่อยยาก ก็ยิ่งง่วง
ที่ง่วงก็ยิ่ง งง นั่นล่ะ บทความของผมเลย

แต่ตัวผมเอง ซึ่งไม่ได้แคร์ความเป็นตลาด
หรือต้องการจะให้คนทั้งโลกมาเข้าใจอยู่แล้ว
ก็ยังจะยืนยันว่าจะเขียนให้ย่อยยากไปเรื่อยๆ
ผมว่ามันมีคุณค่ากับใจผมมากทีเดียว

เพราะจะให้เขียนเรื่องย่อยง่าย ผมก็คงทำได้ไม่เก่ง
และไม่ดีเท่าเรื่องแบบนี้แน่ๆครับ
(ผมกลายเป็นคนที่สื่อสารยาก และใช้คำพูดวกวนไปแล้ว เหมือนที่คุณทศเคยบอก )
ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมยอมรับไปเต็มประตูเลยจริงๆครับ


ขอบคุณนะครับ ที่ยังมีคนนึงที่เข้าใจบทความในหลายๆใจความสำคัญ

ผมนึกถึงคำพูด ที่เจอบ่อยๆในอินเตอร์เนต คำนี้จริงๆ

"If you always do what interests you, then at least one person is pleased." : Katherine Hepburn
ถ้าคุณลงมือทำในสิ่งที่คุณสนใจอยู่เสมอ อย่างน้อยจะมีคนคนหนึ่งที่พอใจ "

ขอบคุณครับที่ทำให้ อย่างน้อยจะมีคนหนึ่งที่พอใจ
ไม่ได้เหลือเพียงแต่ผม

ขอบคุณจริงๆครับ ^^

ปล.
> ผมยกตำเหน่ง บก. เหลี่ยมลุงหนวดให้คุณเลยเอ้า!

:"D

NamzZa กล่าวว่า...

จะบอกว่าตามมาอ่านคอมเม้นท์พี่สาวแล้ว....

ชอบม๊ากกกกกอ่าา
นิขนาดน้ำไม่ได้เป็นคนเขียนนะยังปลื๊มปลื้มมม
สงสัยต้องส่งกระดาษทิชชู่ไปให้คุณ coHdซับน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มสะแล้ว ฮ่าๆ

แต่จะว่าไป ...
คนอีกคนที่น้ำรอร๊อรอ อ่านงานเขียนเนี่ย
คือพี่สาวดอกปีปเนี่ยแหละค๊าาา

เมื่อไหร่ดีน๊าาาาาาาา

สงสัยเพราะพี่สาว "ไม่มีเวลา" แน่ๆเลย
แต่ไม่เป็นไรคะ รอได้เสมอ ...
สำหรับบุคคล v.i.p ไม่มีคำว่า "สาย" เกินไป

อิอิ

dokpeep กล่าวว่า...

555 ดีใจจังเลยค่ะที่มีคนชอบคอมเมนต์ของดอกปีบ ทั้งคุณcoHd และ น้องน้ำ ด้วยนะคะ

ไม่เสียแรงที่ตั้งใจอ่าน(หลายรอบ) 555

ส่วนที่คุณcoHd บอกว่า ...
"ผมยังจำคำพูดคุณดอกปีบ ถึงบทความที่เปรียบเหมือนน้ำตาลได้อยู่เลยครับ
มาคิดดูก็ เอ้อจริงด้วย..บทความผมย่อยยากจริงๆ
ยิ่งย่อยยาก ยิ่งใช้พลังงานในการอ่านเยอะ
ยิ่งใช้พลังเยอะยิ่งย่อยยาก ก็ยิ่งง่วง
ที่ง่วงก็ยิ่ง งง นั่นล่ะ บทความของผมเลย...."

โห อ่านแล้วฟังดูเป็นแง่ลบไปหน่อย ทั้งที่เจตนาจริงๆของดอกปีบเนี่ย ออกจะเป็นแง่บวกนะคะ ...555

จำได้ว่าเคยเปรียบงานเขียนของคุณcoHd ไว้เป็น คาร์โบไฮเดรตที่เป็นจำพวกข้าวหรือจำพวกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เพราะกว่าจะดูดซึมและย่อยนำไปใช้ได้ ต้องผ่านกระบวนการต่างๆมากมาย จนกว่าจะกลายเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวพวกกลูโคสแล้วดูดซึมใช้ในร่างกาย

...แม้มันไม่ได้หวานเหมือนน้ำตาลกลูโคส ...และแม้เราจะดูดซึมของหวานได้เร็วแค่ไหน ...แต่สุดท้าย ยังไงเราก็ต้องกินข้าวอยู่ดีแหละค่ะ ที่สำคัญ ข้าวเป็นพลังงานสำคัญ กินแล้วอิ่มนาน และสุดท้ายเมื่อย่อยได้แล้วก็ให้น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวจำนวนมหาศาลทีเดียวนะคะ

...ดอกปีบจึงอยากให้คุณภาคภูมิใจในผลงานย่อยยากของคุณค่ะ ^ ^

พูดได้สมเป็นบ.ก.เหลี่ยมลุงหนวดรึยังค่ะเนี่ย 555 (สวมรอยปฏิบัติการทันที 555)

อ้อ แต่ว่าดอกปีบลืม บอกไปอีกอย่างในคอมเมนต์เรื่อง ไม่มีเวลาของลุงหนวดนะคะ คือหลังจากอ่านอย่างซึมซับแล้วเนี่ย มันทำให้ดอกปีบ นึกถึง หนังสือเล่มนึงค่ะ เคยอ่านมานานแล้ว เรื่อง 10 ข้อคิดมุมมองเรื่องเวลา ของ โบดิล จอห์นสัน ...ไม่ได้รู้สึกว่าเขียนสไตล์เดียวกันหรอกนะคะ แต่คือ อ่านบทเรียนที่ 2 จบแล้วเนี่ย ทำให้ให้รู้สึกว่า อยากจะบรรจุ เรื่อง "ไม่มีเวลา"ของเหลี่ยมลุงหนวด ให้เป็น แง่คิดที่11 เลยที่เดียวที่เราจะต้องนึกถึง เมื่อพูดถึงเรื่องเวลา

นี่ดอกปีบจะอินกับบทเรียนที่ 2มากเกินไปป่าวเนี่ย 555 เดี๋ยวจะหาว่าลืมไปว่ามีบทเรียนที่ 3แล้ว ...ก่อนที่จะอินกับบทเรียนที่ 3 แล้วมาคอมเมนต์"สาย"กว่าใครเพื่อนอีก 555

งั้นคงต้องรีบแสดงความคิดเห็นในบทถัดไปแล้วล่ะค่ะ

รอบหน้าเราไปคอมเมนต์กันต่อในบทเรียนต่อไปกันดีกว่านะคะทุกๆคน ^ ^

เพลงหนวดขมวดรัก

เพลงรักเพลงหนึ่ง by coHd cover ใหญ่ โมโนโทน

เพลงหนวดขมวดรัก

"ไม่มีเหตุผล" by coHd cover : บอย ตรัย

เพลงหนวดขมวดรัก

"ความรักในทัศนคติ" เนื้อร้อง,ทำนอง : by coHd cover ลุงหนวด เย้ยย(สรุป:แต่งเอง)